บทที่ 2. ผิดตัว หัวใจไหวหวั่น...
ร่างบางซึ่งหลับใหลไม่ได้สติมาทั้งคืนเริ่มขยับกายอย่างเมื่อยล้า อาหารปวดศีรษะตุบๆ นั้นทำให้เธอทิ้งร่างลงนอนบนที่นอนนุ่มอย่างไม่อาจจะฝืนทน แต่ที่นอนที่นุ่มเกินความจำเป็นและความนุ่มนั้นก็ช่างไม่คุ้นเคยเสียเลยทำให้แพขนตางามงอนกระพือช้าๆ ก่อนเปลือกตาบางจะเปิดขึ้น ชนกวนันท์กวาดตามองรอบกายอย่างหวั่นหวาดเมื่อเพดานสีฟ้านวลและโคมไฟระย้างดงามนั้นไม่คุ้นตา ความรู้ว่าที่พบว่าตนถูกลักพาตัวมานั้นสร้างความหวาดกลัวให้เธอเป็นอย่างมาก
“พี่พราวตื่นแล้วๆ พี่พราวเป็นไงบ้างค้า” เสียงเด็กผู้หญิงเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ พร้อมกับที่นอนยวบยาบเหมือนมีคนขึ้นมาบนเตียงทำให้เธอหันไปมองและพบกับดวงตากลมโตใสแจ๋วสีเขียวมรกตมองเธอด้วยความตื่นเต้น ริมฝีปากเล็กๆ ยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันทั้งปากหากว่าไม่มีฟันซี่ไหนหลุดไปเสียก่อน
“หนูเป็นใคร แล้วพี่แพรมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พยายามลุกขึ้นด้วยความช่วยเหลือของเด็กน้อย
“พี่เป็นพี่พราวค่ะ ไม่ใช่พี่แพรแต่น้องแองจี้ว่าผมทรงนี้ของพี่พราวสวยน่ารักมากค่ะ”
“ใครคือพราว พี่ชื่อแพรนะไม่ใช่พราวหนูคงจำคนผิด..” ชนกวนันท์สะบัดศีรษะแรงๆ ทั้งสับสนสะลืมสะลือ ก่อนจะพยายามปรับสายตาให้ชินกับภาพเบลอๆ ตรงหน้า ภาพท้องทะเลภายในกรอบหน้าต่างบานกว้างยาวจรดพื้นนั้นงดงามนัก หาดทรายขาวสะอาดนั้นน่าเดินย่ำเล่นให้เพลิดเพลิน กลิ่นลมทะเลหอมสดชื่นทำให้เธออดที่จะสูดเข้าปอดไม่ได้ห้องนอนกว้างสีฟ้านวลตาและเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในห้องนี้ก็บ่งบอกถึงรสนิยมอันดีของผู้ตกแต่ง และราคาที่แสนแพงของมัน ภาพที่เธอเห็นรอบกายนั้นทำให้เธอรู้ชัดแล้วว่าเธอถูกลักพาตัวมาผิดคน และคนที่พามาก็คิดว่าเธอเป็นศรัญภัทรา
ชนกวนันท์ก้มลงสำรวจตัวเองว่าอยู่ในสภาพใดแล้วก็ต้องโล่งใจเมื่อเธอยังอยู่ในชุดเดรสสั้นแขนกุดสีสดใสซึ่งศรัญภัทราซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดทั้งๆ ที่เกิดวันเดียวกันแล้วหญิงสาวก็หันมามองเด็กหญิงที่นั่งมองเธอตาแป๋วนี้ก็เช่นกันและเด็กหญิงคงจะเป็นแฟนคลับของศรัญภัทราเป็นแน่
“หนูเป็นใครคะ หากไม่ลำบากเกินไปขอน้ำสักแก้วได้ไหม” ความหวาดกลัวที่มีเมื่อครู่ลดน้อยลงเมื่อได้คุยกับเด็กน้อย หากแต่ไม่ทั้งหมดชนกวนันท์พยายามตั้งสติ เธอเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะที่ดีเสมอ จึงไม่ออกอาการโวยวายหรือตีโพยตีพายกับเรื่องที่ยังไม่รู้แน่ชัด
“ได้เลยค่ะ น้องแองจี้ยินดีค่ะ” เด็กหญิงกล่าวอย่างยินดีและชี้นิ้วมาที่ตัวพร้อมกับบอกพี่สาวคนสวยที่เธอใฝ่ฝันอยากพบอย่างน่ารักจนคนที่คิดหวาดหวั่นนั้นคลายความกลัวลงแล้วรับแก้วน้ำขึ้นดื่มคลายความกระหาย หญิงสาวหันมามองเด็กหญิงแองจี้อย่างพินิจพิจารณา แล้วเธอก็พบว่า หนูน้อยสวมหมวกไหมพรมสีสดใสและสวมเครื่องช่วยฟังแบบแขวนหลังหูขนาดเล็กบางแนบไปกับใบหูเล็กๆ นั้น
(เครื่องช่วยฟัง คือ อุปกรณ์สำหรับผู้ที่มีความผิดปรกติทางการได้ยินตั้งแต่หูตึงจนถึงหูหนวก เครื่องช่วยฟังเป็นเครื่องขยายเสียงให้ดังขึ้น ประกอบด้วย ไมโครโฟนเป็นตัวรับเสียง ตัวขยายเสียงให้ดังขึ้นคือเอมปริไฟร์มีทั้งแบบแบบดิจิทอลล์ แบบอนาลอกซึ่งมีอยู่สามแบบคือ แบบกล่องแบบแขวนหลังหูแบบใส่ในช่องหู)
ซึ่งมันบ่งบอกว่าเด็กหญิงมีความพกพร่องทางการได้ยิน ใบหน้าที่ดูซีดเซียวของเด็กน้อยทำให้ชนกวนันท์มีความรู้สึกว่าน้องแองจี้ป่วยและอาจจะป่วยมากด้วย หญิงสาวยิ้มให้เด็กหญิงบางๆ ด้วยความรู้สึกที่เป็นมิตรมากขึ้น
“ทีนี้จะตอบพี่พราวได้รึยังคะ ว่าพี่พราวอยู่ที่ไหน” เธอตัดสินใจเป็นศรัญภัทราด้วยความรู้สึกสงสารน้องแองจี้อย่างบอกไม่ถูก
“ที่นี่คือเกาะดาหวันค่ะพี่พราวขา และน้องแองจี้ต้องขอขอบพระคุณนะคะที่พี่พราวยอมมาเป็นพี่เลี้ยงให้น้องแองจี้ที่นี่” หนูน้อยกราบลงที่ตักของเธออย่างน่ารัก แล้วลุกขึ้นนั่งตั้งมือข้างขวาขึ้นระดับอกแล้วผายออกด้านข้างสองครั้งทำให้หญิงสาวอึ้งไป แต่ก่อนที่ทั้งสองสาวจะพูดอะไร ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมด้วยผู้ชายร่างสูงใหญ่เดินหน้าเข้มเข้ามา รูปร่างสูงใหญ่ของเขาไม่ได้ทำให้ชนกวนันท์หวาดหวั่นเท่ากับหนวดเครารุงรังบนใบหน้าถมึงทึงของเขา หญิงสาวรีบโอบกอดร่างผอมบางของเด็กหญิงไว้แน่นราว เหมือนว่าหนูน้อยจะเป็นโล่กำบังให้เธอเพราะเธอรู้สึกว่าเด็กหญิงน่าจะมีความสำคัญกับคนที่เดินเข้ามา...
“แองจี้คะไปทานข้าวได้แล้วค่ะคนเก่งให้คุณลุงคุยกับพี่พราวของน้องแองจี้ก่อนนะคะ”
“ค่า คุณลุงเบน น้องแองจี้ไปทานข้าวก่อนนะคะเดี๋ยวมาค่ะ” น้องแองจี้กล่าวพร้อมกับยื่นใบหน้าเล็กๆ นั้นมาจุ๊บแก้มเธอเบาๆ แล้ววิ่งออกไปจากห้อง ปล่อยให้เธอเผชิญหน้ากับยักษ์ตัวใหญ่...
ชายหนุ่มที่ได้ยินน้องแองจี้เรียกว่า คุณลุงเบน มองหน้าเธอด้วยแววตาเรียบเฉยเดินไปหยุดที่ระเบียงกว้างหันหน้ามองท้องทะเลยามเช้าเหมือนไม่มีเธออยู่ ทั้งๆ ที่เขาบอกกับหลานสาวว่าจะคุยกับเธอชนกวนันท์มองแผ่นหลังกว้างอย่างหวาดๆ ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะมาดีหรือร้าย
“ฉันขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหมคะ”
“ไปสิ..” ชายหนุ่มหันมามองเธอด้วยแววตางงงันเล็กน้อยก่อนจะอนุญาต ชนกวนันท์รีบลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
เบนจามินมองตามหญิงสาวไปพลางนึกแปลกใจที่เธอไม่โวยวาย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ที่เขาแสงศรไปเจรจาเสนองานพี่เลี้ยงเด็กให้เธอด้วยจำนวนเงินซึ่งนับว่าแพงลิบ แต่เจ้าหล่อนกลับไม่สนใจซ้ำยังโวยวายและเหวี่ยงคนของเขากลับมา อีกทั้งยังโทรศัพท์มาต่อว่าเขาซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างเธอเป็นพรีเซ็นเตอร์อีกด้วย เบนจามินถอนใจอย่างโล่งอกแกมชื่นชมที่หญิงสาวมีสติไม่โวยวาย หรือคิดจะหนีออกไปจากห้องนี้อย่างที่เขาคิด แปลกเหลือเกินราวกับคนละคน...
“ฉันอยากรู้ว่า คุณทำแบบนี้ทำไม” ชนกวนันท์ถามเขาด้วยน้ำเสียงแสนจะเบาเพราะความเป็นคนค่อนข้างเงียบขรึมและไม่มั่นใจในตนเอง จึงได้แต่มองผู้ชายที่ชื่อเบนจามินอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี หลังจากได้รู้จักเขาอย่างเป็นทางการได้พูดคุยถึงข้อตกและสัญญาระหว่างเธอกับเขาเมื่อชายหนุ่มบอกเกี่ยวกับการมาที่นี่ของตน
ที่นี่คือเกาะดาหวัน.. เกาะซึ่งห่างไกลจากบ้านที่เธออยู่มาก ซ้ำยังอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่รู้จักมักคุ้น สภาพแวดล้อมก็ไม่ชินและที่สำคัญคนตรงหน้าเธอก็ทำให้เธออยากจะหนีหายไปจากที่นี่เสียตอนนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมานั่งอยู่ต่อหน้าผู้ชายที่เคยยินน้องสาวพูดถึงว่าเป็นเป็นคนดังโลกส่วนตัวสูงที่หาตัวพบยาก
หนุ่มโสดเข้าขั้นมหาเศรษฐี ซึ่งสาวๆ ทั้งในและนอกวงการบันเทิงอยากเสนอตัวเป็นผู้หญิงของเขา ซึ่งชนกวนันท์เองไม่เคยสนใจและไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยสักครั้งได้ยินบ้างก็แต่ข่าวคาวที่เขามีกับเหล่าดารานางแบบจากปากน้องสาว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากกว่านั้น และศรัญภัทราก็แค่พูดให้ฟังตามกระแสข่าวซึ่งในความคิดของพวกเธอมันไร้สาระ และหากจำไม่ผิดเบนจามินเป็นเจ้าของบริษัท เบสท์บราวส์ฟู้ด (Beast Brows Foods) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพสำเร็จรูป ซึ่งศรัญภัทราน้องสาวฝาแฝดของเธอเป็นพรีเซนเตอร์ให้อยู่ในขณะนี้นั่นเอง
“ฉันก็บอกเธอแล้วไงว่าฉันต้องการให้เธอมาเป็นพี่เลี้ยงให้น้องแองจี้ระหว่างอยู่ที่นี่ พร้อมกับค่าจ้างอย่างงาม”
“แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดแน่นอน ไม่อย่างนั้นคุณไม่ให้คนลักพาตัวฉันมาแบบนี้แน่ เพราะอะไรการมาเป็นพี่เลี้ยงน้องแองจี้ถึงได้สำคัญมากจนต้องลักพาดาราดังมาเป็นพี่เลี้ยงหลานของคุณ หากคุณไม่ให้เหตุผลที่แท้จริงฉันจะบอกน้องแองจี้ว่าคุณลักพาตัวฉันมาโดยที่ฉันไม่เต็มใจมา” มันเป็นคำพูดที่ยาวที่สุด เท่าที่ชนกวนันท์เคยพูดกับคนอื่นนอกจากน้องสาวฝาแฝด หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเมื่อเขาหันมามองเธอเขม็งและนึกแปลกใจตัวเองที่สามารถพูดออกไปได้แบบนั้น
“ถ้าเธอบอกน้องแองจี้แบบนั้น เธอตายแน่ศรัญภัทรา”
“ถ้าฉันตาย หลานสาวคุณแย่แน่ ดูก็รู้ว่าเธอป่วย คุณให้คนลักพาตัวฉันมาเพื่ออะไร ทำไมคุณไม่เจรจาดีๆ กับฉัน” ชนกวนันท์สวมรอยเป็นน้องสาวทันที ถึงเธอจะเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตนเอง แต่ก็ไม่โง่จนมองสถานการณ์ตรงหน้าไม่ออก เพียงแต่อยากรู้ความจริงเท่านั้น เธออยากรู้ว่าน้องแองจี้เป็นอะไรและเธอสามารถช่วยได้มากน้อยแค่ไหนสำหรับเธอแล้วการได้ช่วยเหลือคนอื่นมันเป็นสิ่งที่เธอจะไม่ลังเลเลยหากทำได้
“โอเค.. เธอฉลาดมากศรัญภัทรา แต่ถ้าเธอไม่ได้ความจำเสื่อมคงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วันฉันให้คนไปเสนองานนี้ให้เธอด้วยค่าจ้างที่มากกว่าการถ่ายแบบวับๆ แวมๆ ของเธอแต่ละครั้งด้วยซ้ำ แต่เธอก็ปฏิเสธซ้ำยังโทรมาโวยวายต่อว่าฉัน คนที่เป็นเจ้าของบริษัทซึ่งจ้างเธอเป็นพรีเซนเตอร์ให้ด้วย เธอเป็นคนลืมง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”
“แต่คุณก็ไม่น่าจะทำแบบนี้... และฉันก็ไม่ได้ถ่ายแบบวับๆ แวมๆ อย่างที่คุณพูดเลยสักนิด และมันก็ไม่ได้โป๊เหมือนถ่ายนู้ดเสียหน่อย แต่เรื่องที่คุณลักพาตัวฉันมา และหากคุณให้เหตุผลที่แท้จริง คุณก็คงไม่ต้องเป็ผู้ร้ายลักพาตัวใคร..” แม้ชนกวนันท์จะกระจ่างในต้นเหตุที่เขาลักพาตัวเธอมาแต่การที่เขากล่าวหาน้องสาวของตนก็ยอมไม่ได้เช่นกัน
“เอาเป็นว่าฉันจะบอกเหตุผลที่แท้จริงกับเธอก็ได้ หากมันจะทำให้เธออยู่ที่นี่โดยไม่ทำให้หลานของฉันรู้สึกว่าแกเป็นคนป่วยใกล้ตาย” เบนจามินพูดน้ำเสียงเย็นซึ่งมันทำให้หญิงสาวหน้าซีดเผือดลงทันที
“น้องแองจี้ป่วยหนักหรือคะ”
“ใช่ น้องแองจี้ป่วยหนัก เธอเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอและไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยตั้งแต่ได้ขวบกว่าๆ ซึ่งฉันมารู้ทีหลังเมื่อแม่ของแกทิ้งแกไปแล้วปล่อยให้น้องแองจี้อยู่กับพี่เลี้ยงตามลำพังโดยไม่กลับมาเหลียวแล แต่โชคดีที่พี่เลี้ยงของน้องแองจี้ฉลาดและเป็นคนดี รู้ว่าน้องแองจี้เป็นใครจึงจะพามาส่งให้ฉันดูแล แต่โชคร้ายระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุรถโดยสารที่นั่งมาเกิดชนกับรถกับรถสิบล้อ พี่เลี้ยงน้องแองจี้บาดเจ็บสาหัส ทั้งสองถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยที่น้องแองจี้ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลยเพราะพี่เลี้ยงของเธอโอบกอดเอาร่างบังกระจกที่แตกกระจายไว้ไม่ให้โดนน้องแองจี้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่อึดมากเธอยื้อชีวิตของตนเองจนพบฉันและเห็นว่าฉันมารับน้องแองจี้แล้วเธอจึงได้สิ้นใจ... แต่หลังจากที่ฉันเลี้ยงดูน้องแองจี้ได้สักพักก็พบถึงความผิดปกติทางการได้ยินของน้องแองจี้ อีกสามปีต่อมาน้องแองจี้ก็ล้มป่วยและหมอก็วินิจฉัยว่าแองจี้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันในเด็กระยะสุดท้าย...” กล่าวจบเขาก็นิ่งเงียบมองออกไปนอกหน้าต่างในขณะที่ชนกวนันท์น้ำตาซึมเพราะความสงสารเด็กหญิงผู้อาภัพ
(โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) หมายถึงภาวะที่เม็ดเลือดขาว กลายเป็นมะเร็งมีการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวอย่างมากเกินไปจนร่างกายของเราไม่สามารถควบคุมมันได้ เซลล์มะเร็งเหล่านี้จะไปอยู่ตามอวัยวะต่างๆทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร และมีภูมิคุ้มกันต่ำ เนื่องเซลล์มะเร็งเหล่านี้ไม่สามารถทำงานได้เหมือนเซลล์ทั่วไป)
“โอ ไม่จริง ทำไม... น้องแองจี้ยังเด็กนัก”
“ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอมาสงสารหรือเห็นใจน้องแองจี้ หากเธอไม่อยากทำหน้าที่นี้ด้วยใจจริงฉันก็พร้อมจะส่งเธอกลับ เพราะไม่รู้ว่าจะรั้งเธอให้อยู่ทำไมหากเธอไม่เต็มใจ” เขาหันมามองเธอด้วยประกายตาว่างเปล่า ใบหน้าหล่อเหลานั้นเรียบเฉยราวรูปปั้น
“ฉันไม่ได้ไม่เต็มใจ เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไร... ฉัน เอ่อ ฉันเต็มใจจะอยู่เป็นพี่เลี้ยงให้น้องแองจี้นะคะแต่ฉันขอติดต่อทางบ้านและจัดการธุระส่วนตัวก่อนได้ไหม”
“ไม่ได้ หากเธอจะอยู่ที่นี่เธอจะต้องไม่ติดต่อกับใคร ส่วนเรื่องที่บ้านเธอไม่ต้องห่วงฉันให้คนจัดการแล้วเรียบร้อย รถของเธอก็อยู่ที่บ้าน มีคนคอยเฝ้าระวังบ้านของเธอให้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ต้องกลัวว่าสมบัติของเธอจะหายหรอกศรัญภัทรา หากระหว่างอยู่ที่นี่แล้วของในบ้านเธอหายฉันพร้อมจะชดใช้ให้”
“เผด็จการที่สุด ฉันแค่อยากติดต่อคนที่บ้านเท่านั้น เช่น... เอ่อ” หญิงสาวนึกไม่ออกว่าจะหาวิธีติดต่อบอกกล่าวให้ศรัญภัทรารู้ว่าเธออยู่ที่ไหนน้องสาวจะได้ไม่เป็นห่วงและเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอไม่ใช่ศรัญภัทราเพราะกลัววาเขาจะส่งเธอกลับแล้วพาตัวน้องสาวเธอมาแทน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีแน่ เพราะน้องแองจี้อาจจะมีเวลาไม่มากขนาดนั้น...
“เธอมีใครที่ต้องห่วง แฟนเธอหรือ...”
“ปละ เปล่าไม่ใช่”
“แล้วใครที่สำคัญกับเธอมากจนต้องพยายามจะติดต่อเขา หรือว่าเธอคิดไม่ซื่อจะโทร. หาตำรวจ” เขาพาลหาเรื่องด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันไม่มีแฟนค่ะ” เธอตอบเสียงหนักแน่น ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตไร้กรอบแว่นหนาวาววับ
“นึกว่าดาราดังอย่างเธอจะมีแฟนเยอะ หรือเปลี่ยนบ่อยๆ จนจำไม่ได้ว่าใครเป็นแฟนเสียอีก”
“นั่นมันคนอื่นค่ะไม่ใช่ฉัน..” หญิงสาวพยายามปกป้องชื่อเสียงของน้องสาวเมื่อชายหนุ่มทำเสียงเหยียดหยัน
“เอาเป็นว่าเธออยากติดต่อใครเรื่องอะไรก็บอกฉันเดี๋ยวฉันจัดการเอง เอาล่ะในเมื่อเธอตกลงจะอยู่ที่นี่ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปหาน้องแองจี้ที่ห้อง เดี๋ยวฉันจะให้คนพาไปส่วนของใช้ทุกอย่างของเธอฉันเตรียมไว้ให้แล้วแบบที่เธอใช้ประจำไม่ต้องห่วงว่าทำงานกับฉันแล้วจะซอมซ่อหรอก”
เขาพูดเองเออเองเสร็จสรรพโดยที่ชนกวนันท์ไม่มีโอกาสแย้ง หรือถ้าแย้งเธอคิดว่ามันก็เหมือนพูดกับลม ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกับเขาสิ่งที่เธอควรทำตอนนี้คือ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและหาอะไรรับประทานดีกว่าเป็นไหนๆ เพราะตอนนี้เธอหิวเหลือเกิน กองทัพต้องเดินด้วยท้องชนกวนันท์คิดอย่างมีสติ...
