บทที่ 1 (1)
บทที่ 1
Sapporo TV TOWER
札幌市,北海道(Sapporo,Hokkaido)
บนความสูงเก้าสิบเมตรที่เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองลงมาเห็นวิวที่สวยที่สุดของสวนสาธารณะโอโดริอันเป็นเอกลักษณ์ของเมือง แม้จะไม่ใช่จุดชมวิวที่สูงที่สุดในเมือง แต่ก็เป็นจุดที่ใครๆ ก็ต้องมาเพื่อชมความงามของสวนโอโดริที่ทอดตัวยาวจากทิศตะวันออกไปจรดทิศตะวันตกที่มีถนนตัดผ่านเป็นช่วงๆ
ตลอดระยะทางจากทิศตะวันออกไปจรดทิศตะวันตกของสวนโอโดริที่เหมือนกับจะแยกเมืองซัปโปโรออกเป็นสองส่วนบัดนี้เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ต้นไม้ที่อยู่สองข้างทางของสวนในฤดูนี้ถูกหิมะปรกปกคลุมจนขาวโพลน ดอกไม้ที่เคยสวยสดงดงามก็ร่วงโรยไปหลังจากที่ผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วงและเข้าสู่ฤดูหนาว
ตรงกลางของสวนเต็มไปด้วยผู้คนที่มาชมงานเทศกาลหิมะซัปโปโรอันเป็นงานเทศกาลที่สำคัญของปีที่จะมีการแสดงผลงาน รวมถึงการแข่งขันการปั้นหิมะและแกะสลักน้ำแข็งจากทั่วโลก
บนชั้นจุดชมวิว หญิงสาวสวมเสื้อคอปิดสีชมพูทับด้วยเสื้อสเวตเตอร์สีเดียวกันและเสื้อโค้ทสีชมพูอ่อน สวมกางเกงยีนส์สีเข้มเข้ากับรองเท้าบูทที่มีขนนุ่มๆ ตรงขอบรองเท้า
เรือนผมสีดำยาวเคลียไหล่ถูกติดกิ๊บเหน็บไว้ที่ข้างหูพอให้ดูน่ารัก ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางที่ยิ่งทำให้เจ้าหล่อนสวยโดดเด่นมากกว่าใครๆ ที่อยู่บริเวณนั้น หล่อนกำลังชื่นชมกับบรรยากาศเบื้องหน้าด้วยรู้สึกมีความสุขและดีใจอย่างยิ่งที่ได้เหยียบแผ่นดินบ้านเกิดของผู้เป็นบิดาเป็นครั้งแรก
ดาวน้ำฟ้าเป็นสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น หญิงสาวสามารถฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาญี่ปุ่นได้นิดหน่อย เพราะพ่อของหล่อนเป็นคนสอนให้ แต่วันนี้กลับเป็นครั้งแรกสำหรับหล่อนที่ได้มาเยือนบ้านเกิดเมืองนอนของบิดาที่หล่อนรักที่สุด
บ้านของหล่อนมีอาชีพทำสวนส้ม ถึงแม้มันจะไม่ได้ใหญ่โตมากมายอะไรแต่มันก็เป็นอาชีพและเป็นความสุขของหล่อนและครอบครัว บิดาของหล่อนคอยดูแลสวนส้มในขณะที่แม่จะคอยช่วยเหลือและเป็นแม่บ้าน รวมทั้งเป็นทุกอย่างสำหรับคนในบ้าน
ฐานะทางบ้านของหล่อนไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยถึงขั้นไปเที่ยวต่างประเทศได้บ่อย เพราะเหตุนี้จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่หล่อนไม่เคยได้มาประเทศญี่ปุ่นเลย ใครๆ ก็รู้การมาเที่ยวญี่ปุ่นต้องใช้เงินมากขนาดไหน ค่าเครื่องบินอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ค่าครองชีพ ค่ากินค่าอยู่มันไม่ได้ถูกเลยสักนิด ลำพังแค่เอาตัวมาเที่ยวสามวันก็สามารถทำให้ปาดเหงื่อได้
หญิงสาวยิ้มให้กับบรรยากาศตรงหน้าอีกครั้งแล้วจึงคิดถึงเหตุผลในการมาเยือนญี่ปุ่นในครั้งนี้ แล้วก็เผลอถอนหายใจออกมากับความคิดนั้น
หล่อนมาที่นี่ไม่ใช่มาเที่ยว แต่ที่กำลังเที่ยวอยู่นี้เพราะต้องทำตัวให้ชินและเป็นการทำใจก่อนก้าวเข้าไปสู่วังวนของการหลอกลวง ที่ไม่สามาถเดาได้เลยว่ามันจะออกหัวหรือออกก้อย
ในเมื่อหล่อนต้องมาจัดการเรื่องทุกอย่างแทนพ่อและต้องหลอกลวงบ้านใหญ่ยามากุจิ โดยที่หล่อนไม่เคยรู้จักยามากุจิอย่างที่พ่อรู้จัก และยามากุจิเองก็ไม่ได้รู้จักหล่อนที่เป็นหล่อนด้วยเช่นกัน
“มาจนถึงนี่แล้ว ถอยไม่ได้อีกแล้วนะเรา...”
ดาวน้ำฟ้าพึมพำบอกตัวเองก่อนจะผละจากวิวสวยๆ เพื่อลงไปยังชั้นล่างของทาวเวอร์ หล่อนเดินลงลิฟต์มาจนถึงชั้นล่าง ผ่านบริเวณด้านหน้าที่มีการตรวจตั๋วแล้วจึงเดินตรงไปยังสวนโอโดริที่เห็นอยู่
แต่เพราะพื้นถนนมีแต่หิมะขาวโพลนเต็มไปหมด คนไม่คุ้นชินกับการเดินบนหิมะก็รู้สึกว่าเดินลำบากมากขึ้น แถมอากาศก็หนาวกว่าเมืองไทยมากจนแค่หายใจควันก็ออกจากปากแล้ว
“โอ๊ย หนาว...หนาว...หนาว”
ดาวน้ำฟ้าบ่นอุบแล้วเดินต่อไป แต่จังหวะนั้นเองมีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาหล่อนอย่างรวดเร็วแล้วฉกกระเป๋าเป้ใบเล็กของหล่อนไปด้วยความเร็วที่หล่อนได้แต่อ้าปากค้างก่อนจะร้องออกไป
“ขโมย!”
หญิงสาวร้องออกไป แต่กลับไม่มีใครเหลียวแลหรือแม้แต่จะช่วยวิ่งตามคนร้ายสักคน ทุกคนมองดูแล้วทำได้แค่มองซ้ายมองขวาเหมือนจะเกี่ยงกัน แต่สำหรับหล่อนแล้วมันไม่มีเวลาให้เกี่ยง เพราะในกระเป๋ามันมีทุกอย่างที่สำคัญ ทั้งพาสปอร์ต วีซ่าและกระเป๋าสตางค์
ดาวน้ำฟ้าตัดสินใจออกวิ่งตามคนร้ายไป หล่อนวิ่งตัดผ่านถนนใหญ่ไปสองช่วงถนนจนกระทั่งมาหยุดตรงทางเท้าที่เห็นคนร้ายวิ่งหายไป หล่อนมองซ้ายมองขวาแล้วเลี้ยวมุมเข้าไปตรงตรอกเล็กๆ ที่นั่นหล่อนก็พบคนร้าย แต่กลายเป็นว่าคนร้ายมีพรรคพวกของมันด้วย!
“ซวยล่ะสิ”
หล่อนบ่นกับตัวเองแล้วก็ตั้งหลักเต็มที่สำหรับการปะทุษร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อพวกของคนร้ายเริ่มเดินเข้ามาหา ซึ่งถ้าเป็นคนปกติก็ควรจะวิ่งหนีถ้าคู่ต่อสู้มีมากกว่า แต่หล่อนหนีไม่ได้ เพราะของในกระเป๋านั่น มันมีค่ามากกว่าที่หล่อนจะวิ่งหนีไปได้
“เอากระเป๋าของฉันคืนมา แล้วฉันจะไม่แจ้งตำรวจเรื่องพวกนาย” หล่อนพยายามขู่
“เฮ้ คิดจะขู่พวกเรา แน่ใจแล้วเหรอ” หนึ่งในพวกมันร้องถาม แต่หล่อนกลับตอบในใจได้ทันทีเลยว่า...ไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอก!
ดาวน้ำฟ้าตอบในใจแล้วก็เริ่มชั่งใจกับความเป็นไปได้หลายๆ อย่าง หญิงสาวไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกนี้เป็นแค่นักเลงข้างถนนธรรมดาหรือเป็นพวกลูกน้องของกลุ่มแก๊งของอะไรๆ ที่เรียกว่า ยากูซ่า!
ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังล่ะก็ มันออกจะเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากอยู่สักหน่อย ถึงแม้ว่าหล่อนจะรู้จักศิลปะการต่อสู้และการป้องกันตัว แต่หล่อนเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวและเป็นผู้หญิงที่ไม่โง่พอที่จะสู้กับจำนวนคนที่มากกว่าแบบนี้หรอก
“ขอกระเป๋าคืนให้ฉันเถอะ...”
หล่อนเปลี่ยนเป็นร้องขอ ขณะทำใจแล้วว่าคงต้องมีการเจ็บตัวกันแน่ เพราะพวกนั้นคงไม่ปล่อยให้หล่อนลอยนวลจากไปได้และหล่อนเองก็ไม่สามารถตัดใจจากกระเป๋าของตัวเองที่มีของสำคัญอยู่ได้ด้วย
ทว่า ตอนนั้นเองที่เสื้อโค้ทตัวหนึ่งลอยลงมาคลุมศีรษะของหล่อนพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกที่ดังลอยมาจากทางด้านหลังในจังหวะที่คนๆ นั้นเคลื่อนตัวผ่านด้านข้างของหล่อนเข้าไปหากลุ่มคนร้าย
“ฝากถือไว้สักครู่ เดี๋ยวจะมาเอาคืน...”
