ตอนที่ 4 ได้ใช้ชีวิตสงบสุขที่ใฝ่หา 2
ลู่หว่านจับมือไป๋เล่อชิงปลอบ “ชิงเอ๋อร์อย่ากังวล ข้าเองแต่งกับเฉิงอวี่ได้เกือบปีเลยเชียว กว่าจะตั้งครรภ์”
เฉิงเอินพลันรู้สึกผิด “ชิงชิง ข้าขอโทษที่ปากพล่อย ขอตบปากตัวเองนะ นี่แน่ะๆ” นางทำปากจู๋ยกมือตีแปะๆ
ไป๋เล่อชิงหัวเราะคิก “มาๆ ข้าตบให้”
“อ๊ะ ไม่ต้องๆ ข้าเกรงใจ”
“ไม่เป็นไร”
“ไม่เอา”
สตรีทั้งสองวิ่งหนีรอบตัวลู่หว่าน
เด็กสาววัยสะพรั่งมักเป็นเช่นนี้เสมอเวลาเจอกัน วุ่นวายอย่างยิ่ง ลู่หว่านให้รู้สึกปลงยิ่งนัก
ชีวิตพวกเจ้าสงบสุขเกินไปกระมัง?
นางรีบปราม “พวกเจ้าอย่าทำเช่นนี้มันดูไม่งาม”
เฉิงเอินหยุดเล่นแต่ปากว่า “ไม่เป็นไรหรอกพี่สะใภ้ ชีวิตอย่าจริงจังเกินไป ทำตัวเป็นเด็กบ้างจะได้ปลดปล่อย”
“ใช่แล้ว” ไป๋เล่อชิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง มีเพียงอยู่กับสหายแสนดีอย่างเฉิงเอิน นางถึงได้เป็นตัวของตัวเอง
จังหวะนั้น เสียงทักทายของสตรีผู้หนึ่งพลันดังขึ้น “น้องรอง”
สตรีทั้งสามหันมอง เห็นเป็นไป๋หลินที่แต่งตัวงดงามปักปิ่นล้ำค่า ประโคมเครื่องประดับชั้นเลิศบ่งบอกฐานะของสตรีจากตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งมีอันจะกินไม่สิ้นสุด ซึ่งตรงข้ามกับไป๋เล่อชิงอย่างยิ่ง ทั้งที่เป็นพี่น้องร่วมสกุล
อันที่จริง ไป๋หลินมักแต่งกายเช่นนี้เพื่อกดข่มน้องสาวทุกคนในจวนไป๋จนเป็นนิสัยนั่นแล
“พี่หญิงใหญ่” ไป๋เล่อชิงทักทายอย่างเสียมิได้
เฉิงเอินกับลู่หว่านจึงทักทายตามมารยาท
“พี่หญิงไป๋”
ไป๋หลินหันไปทักทายตอบสตรีสกุลเฉิงด้วยรอยยิ้มไม่ห่างเหินแต่ก็ไม่ชิดใกล้ตามมารยาทเช่นกัน
“นายหญิงน้อยเฉิน คุณหนูเฉิน”
ก่อนหันมาสนใจน้องสาวต่างมารดาของตนต่อ “เจ้าเองก็มาซื้อผ้าเหมือนกันหรือ?” ไป๋หลินถามพลางกวาดสายตามอง “มาคนเดียวหรือ ไฉนพี่ไม่เห็นน้องเขย”
น้ำเสียงที่ถามนั้นมิได้ห่วงใยแต่กลับแฝงไว้ด้วยแววเหยียดหยัน นางปรายสายตาพยักเพยิดไปทางรถม้า ซึ่งจอดไม่ห่างจากประตูทางเข้าร้านอาภรณ์ เผยให้เห็นบุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งยืนรออยู่
เขาคือฉางเฟิง
แน่นอนว่าชัดเจนถึงความนัย ไป๋หลินผู้นี้สามีรักและห่วงใยยิ่งนัก ถึงขั้นวางตำราที่ให้ความสำคัญยิ่งชีพเพื่อเดินทางมาส่งภรรยาซื้อผ้าด้วยกัน เช่นนั้น ไป๋เล่อชิงนับเป็นอันใด ต้องมาเองอย่างโดดเดี่ยว ไร้เงาสามีคุ้มกัน ไม่มีคนคอยห่วงใย
ไป๋หลินไม่พูดทางวาจา เพียงมองไป๋เล่อชิงยิ้มๆ สื่อนัยว่าอดีตคนรักเมื่อครั้งเยาว์วัยกับภรรยาคนปัจจุบันย่อมห่างชั้นประดุจดินกับฟ้า ช่างน่าเวทนา!
ตอนนี้ฉางเฟิงรักข้า ไม่รักเจ้าแล้ว รู้หรือไม่? หึหึ!
ไป๋เล่อชิงมองไปทางรถม้า พอนางเห็นฉางเฟิงก็เข้าใจความนัยทั้งหมดของพี่สาว เฉิงเอินก็เข้าใจเช่นกัน นางให้รู้สึกหมั่นไส้อย่างยิ่ง ทำท่าจะถกเถียงแทนสหาย กลับถูกลู่หว่านจับมือจูงไปอีกทาง พลางส่ายหน้าปราม
นั่นล่ะ เฉิงเอินจึงยั้งใจแล้วสงบคำ
เมื่อห่างมาอีกทาง ลู่หว่านจึงกล่าวกับเฉิงเอิน “พวกเราเป็นคนนอก หากเข้าไปยุ่งจะบานปลายกลายเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างสองตระกูล มิใช่แค่เรื่องทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ ระหว่างพี่น้องแล้วนะ”
เฉิงเอินเบ้หน้าไม่อยากเห็นด้วย แต่ก็พอเข้าใจได้ กระนั้นกลับมิวายพร่ำบ่นพึมพำ
“ชิงชิงน่าสงสารจริงๆ มารดาถูกนายหญิงใหญ่สกุลไป๋รังแกจนตาย พี่สาวยังร้ายกาจยิ่ง แย่งชิงคนรักไปไม่พอยังตามราวีไม่เลิกรา กฎหมายเอาผิดไม่ได้เลย”
ลู่หว่านว่า “มารดาของชิงชิงเป็นฮูหยินรองก็จริง แต่ก็ถูกมองเป็นเพียงอนุต่ำต้อยที่ไร้ค่าให้ทางการใส่ใจ อีกทั้งยังงดงามปานนางสวรรค์ ได้รับความโปรดปรานจากนายท่านไป๋ขนาดนั้น ไม่แปลกที่นายหญิงใหญ่ชิงชัง”
นางถอนหายใจ “และชิงชิงน่ะ สะสวยโฉมงามถอดแบบมารดาที่ตายไปแล้ว ยิ่งไม่แปลกที่นายหญิงใหญ่จะจงเกลียดจงชังยาวนานส่งต่อคนเป็นอย่างชิงชิง ถึงขั้นยุยงส่งเสริมให้บุตรสาวทำเรื่องไร้ยางอาย แล้วเรื่องเช่นนี้ล้วนไร้สาระไม่ใช่หลักฐานรูปธรรมเอาผิดตามกฎหมาย เพราะฝ่ายชายเองก็...เฮ้อ!”
“น่าเสียดายก็แต่นายท่านไป๋ที่รักใคร่เพียงมารดา มิได้เอ็นดูบุตรสาวอย่างที่ควร”
ทั้งสองพูดคุยกระซิบกระซาบอยู่มุมหนึ่งในร้านผ้า อย่างมิอาจทำสิ่งใดได้มากกว่านั้น
