ตอนที่ 3 ค่ำคืนมงคล 2
ไป๋เล่อชิงได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าบุรุษที่มีท่าทางจืดชืดคล้ายไม่ประสาต่อโลกหล้านามว่าอู๋หมิง แท้จริงกลับดุดันยิ่งกว่าเสือ ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟ กระบวนท่าร่วมรักประหนึ่งทหารศึกกระหายเลือดที่ได้ออกรบอหังการ
หรือไม่ก็จอมยุทธเจ้าสำราญที่ออกท่องยุทธจนล่วงรู้ฟ้าดิน เขาพานางท่องราตรีวสันต์จนขาพับขาอ่อน ทำเอาแม่นางน้อยเช่นนาง ถึงขั้นบรรลุแจ้งในทุกท่วงท่าร่วมรักทุกขั้นตอน
เนื่องจากสามีเร่าร้อน ตอนเช้าเมื่อตื่นนอน ภรรยาถึงขั้นต้องเดินขาสั่นไปยกน้ำชาให้แม่สามี
โถงเรือนยามรุ่งอรุณ แสงแดดสาดเข้าทางหน้าต่าง ส่งผลให้ทั่วห้องอบอุ่นกำลังดี
เมื่ออากาศทำให้สบายตัวคนย่อมสบายใจ
หวังว่าแม่สามีจะโปรดโปร่งอารมณ์ดีไม่รู้สึกหงุดหงิดร้อนรุ่มอันใด
ไป๋เล่อชิงเดินเข้าประตูโถงเรือนมาพร้อมอู๋หมิง เห็นแม่สามีนั่งอยู่จึงรีบคารวะทักทายอย่างมีมารยาท
“สะใภ้ทำความเคารพแม่สามีเจ้าค่ะ”
ซืออวิ๋นช้อนตามองสะใภ้นิ่งๆอย่างพินิจพิจารณา สีหน้าไม่เผยความนัยว่าชอบไป๋เล่อชิงหรือไม่
เพราะบุตรชายไม่เคยเล่าเรื่องสตรีของเขาให้ฟัง หมิงเอ๋อร์คบหากับนางยามใดก็สุดรู้ จู่ๆ ก็กลับเรือนมาบอกมารดาว่าอยากแต่งงาน พอถามว่าแต่งกับสตรีคนใด พามาให้แม่รู้จักก่อนได้หรือไม่ หมิงเอ๋อร์ก็บอกแค่ว่าเป็นคุณหนูสกุลไป๋ และวันรุ่งเขาก็พาแม่สื่อมาพบมารดาแทน
พูดน้อยเผด็จการเหมือนบิดาไม่มีผิด ทำเอามารดาเช่นนางถึงกับพูดไม่ออก จำต้องพยักหน้าตกลง ถึงอย่างไรสกุลไป๋ก็ยิ่งใหญ่กว่าสกุลอู๋ ควรปฏิเสธหรือไร?
ซืออวิ๋นคิดพลางยกยิ้มเล็กน้อยพยักหน้าตอบรับ
“นั่งลงเถอะ”
อู๋หมิงประคองไป๋เล่อชิงไปนั่งลงที่เก้าอี้ด้วยกัน หญิงสาวแอบมองเขาอย่างแปลกใจอยู่บ้าง ประคอง?
แต่พอมองอีกที ท่าทางยังคงเย็นชาไม่เปลี่ยนนี่นา สงสัยทำตามมารยาทต่อหน้ามารดาเท่านั้น
หลังจากยกน้ำชาซืออวิ๋นก็สนทนาวาจาเปี่ยมไมตรี “ที่นี่มีบ่าวรับใช้น้อยยิ่ง ไม่ลำบากสะใภ้กระมัง”
“ไม่ลำบากเจ้าค่ะ ชิงเอ๋อร์ทำงานบ้านได้”
“อืม ดีๆ”
ซืออวิ๋นรู้สึกพึงพอใจในคำตอบ ตั้งแต่สูญเสียสามี เงินทองที่เคยมีมากโขกลับต้องมัธยัสถ์ราวพลิกฝ่ามือ สกุลอู๋ตัดบ่าวรับใช้ออกไปหลายคน เหลือไว้เพียงคนครัว คนสวน บ่าวคนสนิทของตนเองและบ่าวรับใช้งานจิปาถะไม่กี่คน
ส่วนบุตรชายอย่างอู๋หมิง ชอบความเป็นส่วนตัว มิใคร่ให้ผู้ใดสุงสิงหรือวุ่นวายในเรือนตน จึงไม่มีบ่าวรับใช้คนสนิทติดตามข้างกาย เพียงเรียกใช้งานบ่าวคุมเรือนเป็นครั้งคราวเท่านั้น
เหตุผลเหล่านี้ แม้ฟังดูเข้าที แต่ที่แท้ ล้วนเป็นเพราะฐานะย่ำแย่ลงจนไม่มีเงินจ้างงานบ่าวไพร่นั่นเอง
นางถามลูกสะใภ้ “เหตุใดเจ้าไม่พาสาวใช้คนสนิทติดตามมาด้วยเล่า? ครอบครัวของเจ้าใหญ่โตมั่งคั่งมิใช่รึ”
“เรียนท่านแม่ สาวใช้ของข้าไถ่ตัวเองกลับบ้านเกิด ส่วนสาวใช้คนอื่นล้วนเป็นสาวใช้รุ่นเล็กยังไม่รู้ความเท่าใด เกรงจะสร้างปัญหาให้บ้านสามีเจ้าค่ะ”
ไป๋เล่อชิงตอบเสียงใสอย่างฉะฉานชาญฉลาด แม้ในใจจะนึกหวั่นและอึดอัดไม่เบา
หวังว่าแม่สามีจะไม่ล่วงรู้ เพราะแท้จริงนั้น บ้านเดิมไม่มอบสาวใช้ติดตามมาต่างหาก ทั้งท่านพ่อและแม่เลี้ยงช่างใจจืดใจดำนัก! คงอยากให้บ้านสามีดูแคลนและรังเกียจนางเป็นแน่แท้
ซืออวิ๋นไม่ล่วงรู้ความนัย นางเพียงสงสัย
“ต่อให้เป็นสาวใช้รุ่นเยาว์ก็น่าจะเอามาได้สักคน ไม่รู้ความปานใดกัน? สอนไม่ได้เชียวหรือ?”
ไป๋เล่อชิงเริ่มเลิ่กลั่ก แย่แล้ว นึกคำแก้ตัวไม่ออก!
ซืออวิ๋นยังไม่ลดละ นางว่าต่อ “แม่แค่เกรงว่าที่นี่สาวใช้มีไม่มากพอให้ใช้สอยปะไร สะใภ้กลับบ้านเดิมไปขอมาสักคนสองคนได้หรือไม่?”
“เอ่อ...” ไป๋เล่อชิงอึกอัก
เสียงทุ้มต่ำพลันเอ่ยแทรก
“ท่านแม่ ข้าหิวข้าวแล้วขอรับ”
ทำเอามารดาเพิ่งนึกขึ้นได้ “ตายจริง แม่ลืมไป มาๆ อาชุ่ย ยกสำรับเร็วเข้า ลูกชายข้าหิวแล้วเห็นหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำก่อนหันไปยกอาหารขึ้นโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว
ไป๋เล่อชิงลอบพรูลมหายใจโล่งอก ชำเลืองมองบุรุษหน้านิ่งด้านข้าง ไม่แน่ใจว่าคิดเป็นเองหรือไม่ ทว่านางรู้สึกเหมือนอู๋หมิงแอบช่วย
“ท่านแม่ ชิงเอ๋อร์ปรนนิบัติท่านกินข้าวนะเจ้าคะ”
“ได้ๆ มาเถอะ”
ทั้งสามนั่งล้อมโต๊ะรับมื้ออาหารด้วยกัน ไป๋เล่อชิงคอยคีบกับข้าวและแกะเนื้อปลาให้แม่สามีพร้อมรอยยิ้ม ทำให้เรื่องที่คุยก่อนหน้าถูกปัดตกไปสิ้น
ได้รับการปรนนิบัติที่ดีจากสะใภ้ครบถ้วนเช่นนี้แล้ว ยังต้องเสียเบี้ยหวัดจ้างสาวใช้เพิ่มไปทำไมกัน?
ไป๋เล่อชิงเองก็จงใจให้แม่สามีคิดเช่นนั้น นางจะได้ไม่ต้องถูกถามถึงเรื่องบ้านเดิมอีก
บรรยากาศเช้าวันแรกหลังแต่งงานนับว่าดีเยี่ยม หญิงสาวให้รู้สึกเบิกบานใจนัก
แม้สามีจะมีท่าทีทึมทื่อและเย็นชาห่างเหินไปบ้าง แต่นางกลับมั่นใจว่าตัดสินใจเลือกครอบครัวสามีไม่ผิด
