EP 06 เธอไม่ใช่
ดูเหมือนการเดินทางที่แสนจะง่ายสำหรับคนอื่น พอบลูเบลล์ได้ลองมาทำเองแล้วมันยากกว่าที่เธอคิดไว้มาก ยิ่งคนที่ไม่เคยใช้รถประจำทางแบบเธอมันยิ่งยากเข้าไปอีก ตอนนี้เธอลงจากรถเมย์คันแรกเพื่อเตรียมจะขึ้นคันที่สองเพื่อต่อไปขึ้นคันที่สาม
“เอ่อ.. ขอโทษนะคะ รถเมย์สายนี้ขึ้นตรงนี้หรือเปล่าคะ?” บลูเบลล์เดินเข้าไปถามคนที่ยืนรอรถอยู่เหมือนกันกับเธอเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ค่ะ นี่จะไปไหนเหรอคะ?” หญิงสาวเอ่ยถาม เพราะดูจากท่าทางเงอะงะของบลูเบลล์แล้วเหมือนเธอตอนที่กำลังหัดขึ้นรถเมย์ครั้งแรกไม่มีผิด
“ไปร้านนี้ค่ะ” เธอเปิดชื่อร้านให้อีกคนดู คนเห็นถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“จะไปสมัครงานเหรอคะ?”
“เอ๋.. ไม่ใช่นะคะ พอดีจะไปซื้อของน่ะค่ะ” เธอแปลกใจที่ผู้หญิงคนนึงมีรสนิยมในการกินอาหารดี ๆ ที่มื้อหนึ่งไม่ต่ำกว่ารายได้พนักงานประจำทำงานรวมกันแล้วสามสี่วัน ทำไมถึงมานั่งรถเมย์ได้
“ขึ้นแท็กซี่ไปจะง่ายกว่านะคะ”
“งั้นเหรอคะ” บลูเบลล์พึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“คุณจะไปไหนเหรอคะ มันอยู่ทางเดียวกันมั้ย จะรบกวนมั้ยคะถ้าบลูเบลล์ขอให้คุณไปแท็กซี่ด้วยกัน” เธอดูข่าวมาเยอะและกลัวว่ารถแท็กซี่ที่เธอเลือกนั้นจะไม่ดีอย่างที่เห็นบ่อย ๆ
“เอ่อมันก็ทางเดียวกันแต่ว่าฉัน….”
“บลูเบลล์จ่ายค่ารถเองค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ บลูเบลล์แค่กลัว ถ้าไม่ได้ไปทางเดียวกันไม่เป็นไรค่ะ” เธอเข้าใจดีว่าไม่มีคนใจดีที่ไหนยอมเสียค่ารถเพื่อไปเป็นเพื่อนคนแปลกหน้าหรอก
“งั้นได้ค่ะ ทางเดียวกัน” โชคดีของเธอที่ผู้หญิงคนนั้นตกลง ไม่นานทั้งสองก็มาถึงที่ที่บลูเบลล์ต้องการ แต่อีกคนจะต้องนั่งรถต่อไปอีกหน่อย บลูเบลล์เลือกที่จะยื่นค่ารถโดยสารให้เธอ เผื่อจนเธอถึงที่หมาย
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยบลูเบลล์” หญิงแปลกหน้ายิ้มด้วยความเต็มใจ และนึกเอ็นดูบลูเบลล์
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอให้กลับบ้านได้ง่าย ๆ นะคะ” บลูเบลล์ส่งยิ้มบาง ๆ และหมุนตัวเตรียมจะเดินเข้าไปสั่งของในร้าน
“เอ่อ.. ”
“รับอะไรดีคะ?” พนักงานเอ่ยถามหญิงสาวที่ดูเหมือนไม่รู้ต้องสั่งอาหารยังไง
“คะ.. คือว่ามีเมนูนี้มั้ยคะ?” โชคดีที่แม่บ้านจดชื่อเมนูที่เวทมนต์ชอบใส่กระดาษมาให้ ไม่งั้นเธอแย่แน่ ๆ
“อ่อ มีค่ะ รับกี่ที่ดีคะ?”
“1 ค่ะ กลับบ้านนะคะ” เธอยิ้มร่าเมื่อคิดว่าตัวเองทำได้แล้ว ก้าวผ่านความกลัวในการไปไหนคนเดียวได้แล้ว
“นั่งรอสักครู่นะคะ” บลูเบลล์นั่งรออาหารอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่รู้ว่าเมนูนี้ค่อนข้างที่จะใช้เวลาในการทำ
ผ่านไปราว 15 นาที เธอเริ่มวิตกเพราะคำนวณเวลาที่กลับบ้านยังไงก็ไม่ทันอาหารมื้อเที่ยงของเวทมนต์ หากเป็นแบบนั้นเธอจะต้องโดนดุแน่ ๆ
“เอ่อ.. ใกล้ได้หรือยังเหรอคะ?” เธอค่อนข้างจะเกรงใจพนักงานไม่น้อย เพราะรู้ดีว่ามันดูเป็นการเสียมารยาทและเร่งทางร้าน
“ใกล้แล้วค่ะ พอดีมีคนสั่งเมนูเดียวกันก่อนหน้าคุณไม่กี่นาทีก่อน ทางร้านจึงต้องทำให้คิวนั้นก่อนค่ะ”
“อ่อค่ะ” เธอเข้าใจและก้มหน้ารับชะตากรรมนั้น โดนดุโดนด่าแค่ไหนเธอก็คงต้องยอมเพราะมันเป็นเหตุสุดวิสัย อีกอย่างเวทมนต์อยากจะกินร้านที่ไกลขนาดนี้ เขาน่าจะเข้าใจว่ามันนานคงไม่แปลก
20 นาทีต่อมา อาหารที่บลูเบลล์สั่งก็ได้ตามที่ต้องการ เธอเดินไปจ่ายเงินและเตรียมตัวจะกลับ ปัญหาเริ่มเข้ามาอีกครั้ง เพราะขามาเธอโชคดีที่มีเพื่อนร่วมเดินทาง แต่ขากลับมันคงไม่โชคดีแบบนั้น บลูเบลล์เริ่มเดินหาป้ายรถประจำทาง แต่เดินมาเกือบกิโลก็ยังไม่เจอ
“ขอโทษนะคะ ป้ายรถเมย์อยู่ตรงไหนเหรอคะ?” เธอถามคนข้างทางอีกเช่นเคย
“จะขึ้นรถเมย์เหรอครับ มันต้องไปอีกกิโลเลย” ชายที่แต่งตัวเหมือนพนักงานออฟฟิศตอบไปตามความเป็นจริง
“งั้นเหรอคะ” เธอเริ่มคิดแล้วว่าตัวเองซื่อบื่อ หากต้องเดินอีกกิโลนึง เธอตายแน่ ๆ ด้วยอากาศที่ร้อนขนาดนี้และระยะทางที่ค่อนข้างไกลจะยิ่งทำให้เธอตัดสินใจโบกรถแท็กซี่
“ไปไหนดีครับ?” คนขับเป็นลุงที่ค่อนข้างแก่แล้วทำให้บลูเบลล์เบาใจลงบ้าง
“เอ่อ ลุงไปตาม gps ได้มั้ยคะ หนูบอกทางไม่ถูก”
“ได้ครับ งั้นลุงขอโทรศัพท์ดูเส้นทางหน่อย” บลูเบลล์ยื่นให้อย่างไม่ลังเล จากนั้นแท็กซี่เริ่มออกจากต้นทางไปยังบ้านหลังใหญ่ รถที่ติดทำให้เวลาในการเดินทางยาวนาน กว่าชั่วโมงที่บลูเบลล์ใช้เวลากลับ พอถึงบ้านเธอรีบยื่นเงินให้คนขับและวิ่งด้วยความเร็วเพื่อให้เวทมนต์เห็นว่าเธอพยายามที่จะรีบมาแล้ว
“มาแล้วค่ะ คุณเวทมนต์จะทานเลยมั้ยคะ?” บลูเบลล์รีบที่จะไปเตรียมอาหารจึงไม่ได้มองก่อนว่าเวทมนต์กำลังทำอะไร
“ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกินแล้ว?” อาหารที่เหมือนกันวางอยู่ตรงหน้าของเวทมนต์ มันหายไปกว่าครึ่งแน่นอนว่าชายหนุ่มคงกินมันมาได้สักพักแล้ว
“นะ.. นี่” เธอตกใจและนึกถึงตอนที่ร้านบอกว่ามีคนสั่งเมนูเดียวกัน
“ฉันลืมไปว่ามันมีบริการส่ง อีกอย่างให้ฉันรอเธอฉันหิวตายพอดี ไม่ได้เรื่อง ไปก็นาน ไปเอากับใครข้างทางมาหรือเปล่าล่ะ?” แค่การที่ให้เธอลำบากไปหาอาหารมันก็แย่พอแล้ว เขายังพูดจาดูถูกเธอและความตั้งใจของเธออีก
“บลูเบลล์ขอโทษนะคะ บลูเบลล์ไม่รู้ว่ามันจะช้ามากขนาดนี้” ความจริงแล้วเธอไม่ได้ผิดอะไรด้วยซ้ำ คนที่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรู้ว่าเวทมนต์ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้
“เธอนี่มันชอบขอโทษจริง ๆ นะ ทำอะไรได้มากกว่าขอโทษอีกมั้ย พ่อฉันคิดยังไงถึงเอาเธอมาดูแลฉัน ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ให้ไปซื้อข้าวแค่นี้ก็มาช้า ไร้ประโยชน์”
“คราวหน้าหนูจะไปให้เร็วกว่านี้ค่ะ หนูขอโทษจริง ๆ” น้ำตาที่ไหลลงมาเวทมนต์ไม่เห็นและไม่รับรู้ถึงมัน เพราะมันคือการร้องไห้เงียบ ๆ อีกครั้ง หลายวันที่เข้ามาอยู่ที่นี่
เขาพูดจาแรง ๆ ใส่เธอตลอด แถมยังทำเธอร้องไห้ทุกวัน หากเขาจะสงสารเขาคงหยุดทำมันตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่นี่เขาไม่หยุด แสดงว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่มีวันเห็นใจเธอ
“ดูเหมือนสิ่งเดียวที่เธอจะทำมันได้ดีคงมีแค่เรื่องบนเตียงสินะ เพราะฉันรู้สึกแบบนั้น มันคงเป็นงานถนัดของเธอ ก่อนหน้าที่พ่อฉันจะให้มาหมั้น อาชีพเธอคือการขายบริการหรือเปล่าล่ะ?” เวทมนต์เหยียดยิ้มหลังจากที่พูดจบ ประโยคนั้นทำเอาบลูเบลล์สะอึกจนพูดไม่ออก
“หนูไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ฮึก และหนูขอร้อง คุณช่วยเลิกดูถูกหนูได้มั้ยคะ หนูทำผิดมากขนาดนั้นเลยใช่มั้ย คุณถึงต้องว่าหนูระ..แรง ๆ แบบนี้”
“เธอมันไร้สำนึกอย่างที่ฉันคิดจริง ๆ การเข้ามาทำให้ฉันทรมานที่ต้องหมั้นกับเธอมันยังไม่ร้ายแรงพออีกเหรอ ฉันอึดอัดแค่ไหนรู้มั้ยที่ต้องให้เธอมาอาศัยในห้องของฉัน ที่ที่เป็นของฉัน ยังมีหน้ามาถามอีกหรือไงว่ามันผิดมากหรือเปล่า”
“ฝืนตะ.. ตัวเองหน่อยนะคะ ฮึก ถ้าคุณหายดี หนูจะไปให้พ้นคุณแน่นอน”
“ก็เพราะเธอรู้ว่าฉันไม่รักษา รู้ว่าฉันจะไม่หาย ถึงพูดแบบนี้ใช่มั้ย?” เขามองเธอแง่ลบทุกอย่าง ต่อให้เธอสรรหาเหตุผลมาแค่ไหน มันก็ลบความคิดแรกของเขาไม่ได้อยู่ดี
“งั้นคุณรักษาเถอะค่ะ หนูไม่เคยอยากทรมานคุณ”
“เธอเป็นใคร คิดว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นเลย คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มาสั่งให้ฉันไปรักษางั้นเหรอ! ขนาดพ่อฉัน ยังสั่งฉันไม่ได้เลย!” เวทมนต์เริ่มตวาดเธอเสียงดัง จนแม่บ้านเดินออกมามุงดู
“หนูไม่ได้คิดบะ.. แบบนั้นฮึก” การโดนทุกคนจ้องมองมันรู้สึกแย่มาก ๆ จนเธอเริ่มร้องไห้ออกมา
“จำใส่กะโหลกของเธอเอาไว้บลูเบลล์ ผู้หญิงคนเดียวที่จะสั่งได้มีแค่ผู้หญิงที่ฉันรักเท่านั้น ส่วนเธอน่ะไม่ใช่!”
