EP 05 คำขู่ของพ่อเปลว
และแล้ววันของเวทมนต์ก็มาถึง หลังจากที่บลูเบลล์ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ เปลวเริ่มเบาใจจนตกลงจะไปร่วมงานที่ไนจีเรีย แถมการไปครั้งนี้ยังค่อนข้างที่จะใช้ระยะเวลานานพอสมควร กว่างานจะลงตัว ให้เขาห่างจากภรรยาแน่นอนว่าเขาทำไม่ได้
“พ่อหวังว่าจะไม่มีเรื่องแย่ ๆ เข้าหูของพ่อนะเวทมนต์ แกอย่าคิดว่าจะสั่งให้ทุกคนปกปิดได้ เพราะฉันเป็นพ่อของแกและรู้ทันทุกอย่างที่แกคิดจะทำ”
“พ่อมองผมในแง่ร้ายเกินไปแล้วนะ” เวทมนต์พูดเหมือนกำลังน้อยใจ เขากลายเป็นคนอื่นในครอบครัวตั้งแต่บลูเบลล์เข้ามา
“ฉันไม่ได้มองแกในแง่ร้าย แต่ฉันรู้จักลูกชายตัวเองดีต่างหาก เพราะแบบนั้น อย่าคิดว่าพ่อแกโง่” เปลวย้ำอีกครั้งและหวังว่าเวทมนต์จะไม่ลองของกับเขา
“ทำไม ถ้าผมทำร้ายลูกสาวพ่อ พ่อจะเอาเธอไปซ่อนหรือจะช่วยเธอหนีเหมือนที่ปู่กับลุงครามทำกับพ่อใช่มั้ย?”
“ผิดแล้วเวทมนต์ เพราะแบบนั้นมันเข้าทางแก ถ้าแกทำ ถ้าแกทำฉันสัญญาเลยว่าฉันจะจัดงานแต่งแกกับบลูเบลล์ให้เร็วที่สุด และแขกคนแรกที่ฉันจะเชิญคือผู้หญิงที่แกรักนักรักหนา”
“พ่อ!”
“อย่าลองดี ฉันใจดีกับแกและไม่เคยบังคับแกเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกถ้าไม่เชื่อฟัง” บลูเบลล์ที่นั่งฟังอยู่เม้มปากแน่นด้วยความหวาดหวั่น เธอรู้ดีว่าเวทมนต์กลัวพ่อ แต่ถ้าจะให้เชื่อง่าย ๆ ว่าเวทมนต์จะไม่ทำอะไรเธอมันยากเกินไป
“หึ! ผมจะไปทำอะไรเธอได้ พ่ออย่าลืมว่าผมมองไม่เห็น”
“ก็ตกลงผ่าตัดสักที อย่าดื้อด้านให้มันมากนัก”
“ผมไม่อยากรักษา ต้องให้ผมพูดอีกกี่ครั้ง” เวทมนต์เบื่อที่จะต้องมาพูดเรื่องนี้ ทั้งที่เขาชัดเจนมาตลอด
“แกคิดเหรอเวทมนต์ ว่าการที่แกตรอมใจไม่รักษาแล้วผู้หญิงคนนั้นจะกลับมา แกคิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม พ่อไม่ควรยุ่ง”
“แกมันได้ความโง่มาจากไหน ทำไมไม่เข้าใจสักทีว่าผู้หญิงคนนั้นมันเห็นแก่ตัว ถ้ามันรักแกจริง แค่เดือนเดียวที่รอร่างกายแกพร้อมผ่าตัดทำไมมันรอแกไม่ได้” คนเป็นลูกเถียงไม่ออก แต่แล้วยังไง ในเมื่อเขาก็ยังเข้าใจคนรักเก่าอยู่ดี
“เอาล่ะ เรื่องส่วนตัวของแก ฉันยุ่งมากไม่ได้ แต่จำไว้นะเวทมนต์ถ้าวันไหนที่แกรู้ความจริง แกจะขยะแขยงจนลืมไม่ลง” เปลวลุกเดินจากไป ที่เขาเลือกไม่บอกเพราะเขามีเหตุผล
ใจเปลวอยากจะบอกความจริงไปให้จบ ๆ ด้วยซ้ำ ลูกชายเขาจะได้ตัดใจสักที แต่กลัวว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้นนี่สิ เพราะไม่แน่นอกจากเวทมนต์จะไม่ตัดใจแล้ว เขาอาจจะตัดทางการรักษาออกไปเลย
“สาแก่ใจเธอหรือยัง เห็นหรือยังว่าเธอมันตัวปัญหาในชีวิตของฉัน”
“หนูขอโทษค่ะ” เธอเข้าใจเขาดี เขาจะเกลียดเธอก็คงไม่แปลก เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะหมั้นกับเธอ เธอเข้ามาทำให้ความหวังในการคืนดีกับผู้หญิงคนนั้นหายไป เวทมนต์จะเกลียดเธอมันก็สมควรแล้ว
“ขอโทษแล้วมันช่วยอะไรฉัน ออกไปจากชีวิตฉันสิ ที่ฉันต้องการ ทำได้มั้ยล่ะ?”
“หนูทำแบบนั้นไม่ได้จริง ๆ ค่ะคุณเวทมนต์” บลูเบลล์ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ แม่บ้านที่ยืนแอบกันที่มุมห้องครัว ทำได้แค่เห็นใจว่าที่นายหญิงของบ้าน
“ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาขอโทษ เธอมันผู้หญิงเห็นแก่ตัว เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า” คำนี้อีกแล้ว เขาว่าเธอแบบนี้อีกแล้ว แต่มันก็ถูกเพราะเธอแค่คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างที่เขาพูดจริง ๆ
“คุณอยากกินอะไรดีคะมื้อกลางวัน”
“ฉันอยากกินสเต็กร้านโปรด เธอคงไม่ติดขัดอะไรถ้าต้องไปซื้อให้ฉัน”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจะขอให้ลุงแบงค์พาไปซื้อ” บลูเบลล์ลุกจากโซฟาและเตรียมจะเดินออกไป
“ไม่! ไปด้วยตัวเอง ห้ามมาใช้คนในบ้านนี้เด็ดขาด เพราะเธอไม่ใช่คนในครอบครัว”
“แต่ว่า…”
“แค่นี้ทำไม่ได้งั้นเหรอ?” เธอพยายามที่จะบอกเขาว่าเธอไม่เคยเดินทางไปไหนไกล ๆ ด้วยตัวเองเลย แต่ให้เดาเล่น ๆ เขาก็คงตอบมาว่ามันเป็นเรื่องของเธอ บลูเบลล์จึงทำได้แค่ทำตามที่เขาอยากให้ทำ
“ร้านอยู่ตรงไหนเหรอคะ?”
“ฉันจะให้แม่บ้านบอกทางเธอแล้วกัน เพราะฉันคงไม่มีปัญญากดโทรศัพท์ส่งโลเคชั่นให้เธอได้หรอก”
“ค่ะ” บลูเบลล์เดินกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อหยิบกระเป๋าเงิน ไม่นานเธอก็เดินลงมาและเตรียมจะออกประตู
“หนูบลูเบลล์จะออกไปไหนเหรอครับ?” แบงค์วิ่งเข้ามาถามเมื่อเห็นว่าเด็กสาวมีท่าทีจะเดินไปที่ประตูบ้านใหญ่
“ไปซื้อสเต็กให้คุณเวทมนต์ค่ะ” เธอยิ้มตอบบาง ๆ
“ไปครับ เดี๋ยวลุงพาไป”
“ไม่ได้นะคะลุงแบงค์”
“หื้ม ทำไมครับ ถ้าไม่ให้ลุงพาไปหนูจะไปยังไง มันไกลนะ?” แบงค์ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“หนูอยากลองไปเองดูค่ะ อีกอย่างถ้าลุงแบงค์พาหนูไป เกิดคุณเวทมนต์ต้องการให้ใครซื้ออะไรจะทำยังไง” บลูเบลล์คิดแล้วว่าหากบอกไปตามความจริง แบงค์ต้องรายงานเปลวผู้เป็นเจ้านายแน่ และหากเป็นแบบนั้นเวทมนต์อาจจะโดนพ่อดุ แถมเขาจะมาลงกับเธอทีหลังหาว่าเธอขี้ฟ้องแน่นอน
“จะเอาแบบนั้นเหรอครับ?” แบงค์ทำหน้าหนักใจ เพราะเปลวสั่งเขาไว้ว่าให้ดูแลบลูเบลล์ให้ดี ให้ไปรับไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยเพราะเธอไม่เคยเดินทางด้วยตัวเองมาก่อน การไปร้านโปรดของเวทมนต์นั้นยากกว่านั่งรถไปเรียนอีก
“เอาแบบนี้แหละค่ะ หนูไปได้คุณลุงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” ความสดใสของเธอทำให้แบงค์จำยอม
“งั้นไปดี ๆ นะครับ เดี๋ยวลุงให้คนไปส่งที่ป้ายรถ นั่งแท็กซี่ไปได้นะมันง่ายกว่า ถ้านั่งรถเมย์ดูท่าจะต้องขึ้นสามต่อเลย”
“ขอบคุณค่ะ” บลูเบลล์ยืนรอไม่นาน พ่อบ้านก็ขับมอไซต์มาจอดที่ตรงหน้าของเธอ
“ขึ้นได้มั้ยครับคุณหนู เดี๋ยวผมไปส่งที่ปากทาง”
“ได้ค่ะ สบายมาก” เธอขึ้นไปนั่งและจับกันตกไว้แน่นด้วยความกลัว แล้วไอ้คำตอบนั่นที่ตอบไปก็เพราะไม่อยากให้คนอื่นต้องลำบากใจ
“งั้นไปกันเลยนะครับ” พ่อบ้านสังเกตได้ว่าบลูเบลล์กลัว เขาจึงเลือกขับช้า ๆ เมื่อถึงป้ายรถเมล์ที่แบงค์สั่งให้มาส่งบลูเบลล์ก็ลงจากรถแล้ะยกมือไหว้พ่อบ้าน
“ไปได้แน่นะครับ รถเมย์ไม่ได้ขึ้นกันง่าย ๆ นะครับ”
“หนูไปได้ค่ะ ไม่ต้องห่วง จะรีบกลับมาให้ทันคุณเวทมนต์ทานข้าวแน่นอนค่ะ” สุดท้ายพ่อบ้านทำได้แค่ขับรถกลับบ้านหลังใหญ่ เพราะบลูเบลล์ยืนยันแบบเดิมว่าจะไม่ให้ใครพาไป
