EP 02 ถอยไปซะ
สามวันหลังจากที่เปลวพูดเรื่องนั้นกับเวทมนต์ เขาก็แทบจะไม่ลงมากินข้าวด้านล่างอีกเลย เอาแต่คอยหลีกเลี่ยงการเจอกับผู้เป็นพ่อ พอเปลวเตรียมจะเดินเข้ามาคุย
แค่ได้กลิ่นน้ำหอมของพ่อเขาก็เลือกที่จะเดินหนี เปลวจึงไม่เซ้าซี้เพราะกลัวว่าหากเขายิ่งเดินเข้าหา เวทมนต์จะยิ่งเตลิดไปใหญ่ มันอาจจะแย่จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เพราะเวทมนต์มองไม่เห็น
“ได้คุยกับลูกบ้างมั้ย 2-3 วันมานี้?” เปลวถามภรรยาเพราะคิดว่าอย่างน้อยลูกชายก็น่าจะคุยกับแม่บ้าง เพราะแม่เป็นคนที่ไม่เคยบังคับเขาเลย
“ได้คุยบ้าง แต่เลี่ยงได้ลูกก็เลี่ยง”
“ยังดีที่หนูยังพอได้คุย พี่นี่สิ เฮ้อ” เขารู้ว่าลูกผิดหวังกับการตัดสินใจของเขา เพราะคิดว่ามาตลอดว่าพ่อคงไม่บังคับในเรื่องที่ตัวเองต้องเจอ แต่เขาคิดผิด
“อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวเกลจะช่วยคุยกับลูกให้” เปลวพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนเขาจะเลือกเดินกลับขึ้นห้องทำงานเพื่อเคลียร์เอกสารให้ทันก่อนสิ้นเดือน เขาและภรรยาจะต้องเดินทางไปไนจีเรียเพื่อเจรจาธุรกิจ
ก๊อก ๆ เวทมนต์หลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขาภาวนาในใจว่าขอให้ไม่ใช่พ่อที่เขากำลังหลบหน้า และดูเหมือนคำภาวนาจะเป็นผล
“วันนี้เป็นไงบ้างน้องมนต์ของแม่” บีเกลนั่งข้างลูกชายและลูบหัวเบา ๆ
“แม่ครับ คุยกับพ่อให้ผมได้มั้ย?” เขาถามแม่ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“น้องมนต์ก็รู้ ว่าถ้าพ่อได้ตัดสินใจแล้ว ใครก็ขัดไม่ได้ แต่พ่อทำไปเพราะรักน้องมนต์นะลูก” เธอเป็นคนกลางเองก็อึดอัดไม่น้อย ไม่ชอบสักเท่าไหร่ที่ต้องเห็นลูกและสามีไม่พูดจากัน
“แต่ผมไม่ได้ต้องการแบบนี้ พ่อจะมั่นใจได้ไงว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ยอมหมั้นกับผมเพราะหวังอะไรจากเรา”
“ไม่คิดแบบนี้นะครับ ไม่น่ารักเลย อย่าเพิ่งอคติกับน้อง บลูเบลล์เป็นเด็กดี แม่รับประกัน”
“แม่ก็เข้าข้างพ่อเหรอครับ แม่เห็นด้วยเหรอที่ต้องให้ผมหมั้นกับใครก็ไม่รู้” เขาหวังว่าจะใช้ลูกไม้นี้เพื่อทำให้แม่เปลี่ยนใจ แต่หารู้ไม่ว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
“เวทมนต์ไม่รู้จักน้อง แต่แม่รู้จัก และแม่มั่นใจ ลูกเชื่อเถอะ ว่าก่อนที่พ่อจะเลือกใครสักคนเข้ามาในชีวิตลูก คนคนนั้นจะต้องผ่านการรับรองของพ่อที่มาตราฐานล้านแปดแน่ ๆ” พูดง่าย ๆ ก็คือสามีเธอเรื่องมาก เธอรู้เรื่องนั้นดี
“แต่เขาไม่ใช่คนที่ผมรัก พ่อก็รู้ว่าผมรัก…” เขาหยุดพูดไปดื้อ ๆ เพราะกลัวว่าหากเอ่ยชื่อคนรักเก่าขึ้นมาอีกครั้ง อาจจะทำให้ความอ่อนแอของเขานั้นกลับมาอีก
“ให้โอกาสน้องเขาหน่อยนะเวทมนต์ ถ้าลูกคิดว่าไม่ได้รักน้องจริง ๆ รักษาหายเมื่อไหร่พ่อกับแม่จะพิจารณาเรื่องการถอนหมั้นให้”
“ผมไม่อยากรักษา”
“งั้นลูกก็ไม่มีวันได้ถอนหมั้น” บีเกลยื่นคำขาด เพราะการที่เธอยอมให้ลูกมาตลอดถึงทำให้เวทมนต์ต่อต้านการตัดสินใจที่เธอเลือกให้ และคิดว่าเธอจะช่วยพูดกับเปลวได้ทุกเรื่อง
“เฮ้อ”
“เลือกเอานะลูก ถ้าอยากถอนหมั้นกับน้องจริง ๆ ก็รีบหาย”
“ผมไม่ได้อยากหมั้นเลยนะครับ”
“บางทีถึงวันนั้นลูกอาจจะเป็นคนที่ไม่อยากถอนหมั้นก็ได้เวทมนต์” บีเกลเห็นใจลูกชายไม่น้อยเลย
“ไม่มีทางหรอกครับ ผมเลือกแล้วว่าจะรักใคร”
“แต่เขาทิ้งลูกไป ลูกรู้ใช่มั้ย?” ไม่มีใครอยากซ้ำแผลของลูกตัวเอง เพียงแต่คนเป็นแม่อยากให้ลูกได้ตัดใจ
“เขามีเหตุผล และผมเข้าใจ”
“งั้นแม่คงไม่มีอะไรต้องคุยเรื่องนี้อีก อาทิตย์นี้หนูบลูเบลล์จะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ มาอยู่ห้องเดียวกับลูก แม่หวังว่าเวทมนต์จะไม่ทำในสิ่งที่แม่ไม่ชอบ” บีเกลสัญญากับตัวเองว่าเธอจะเข้มแข็งมากกว่านี้ เพื่อให้ลูกของเธอดีขึ้น
“ผมไม่ให้อยู่นะแม่ นี่มันห้องส่วนตัวของผม”
“งั้นก็ไปตกลงกับพ่อเอง เรื่องนี้พ่อเป็นคนตัดสินใจ” บีเกล หมุนตัวเดินออกจากห้องก่อนจะใจอ่อนไปมากกว่านี้
“โถ่เว้ย!” เวทมนต์หงุดหงิดมากที่ต้องกลายเป็นคนไม่มีสิทธิ์เลือก เขาปัดมือกวาดข้าวของที่ขวางมือทิ้งอย่างไม่ไยดี เสียงโครมครามที่ดังออกไปทำเอาใจคนเป็นแม่สลายและยืนร้องไห้อยู่หน้าห้องพักใหญ่ ก่อนจะปาดน้ำตาออกจากใบหน้าและเดินจากไป
วันอาทิตย์
รถคันหรูมาจอดที่หน้าหอพัก บลูเบลล์แบกเป้เพียงใบเดียวเดินขึ้นรถมาและไหว้คนขับอย่างอ่อนน้อม เธอรู้ว่าจะมีคนมารับที่ไม่ใช่เปลวและบีเกลเพราะบีเกลโทรมาบอกเองว่าร้านอาหารมีปัญหา ทำให้ไม่สามารถมารับได้ บลูเบลล์เข้าใจและไม่ได้เรียกร้อง
“ไม่ต้องไหว้หรอกครับคุณหนู”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณลุงอายุเยอะกว่าหนูอีก หนูต้องไหว้สิคะ” เธอตอบอย่างสดใส คนที่มารับก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นการ์ดคนสนิทอย่างแบงค์ที่ได้รับหน้าที่ตรงสำคัญนี้
“งั้นรัดเข็มขัดเลยครับ เพื่อความปลอดภัย” บลูเบลล์ทำตามและนั่งมองระหว่างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ เธอไม่เคยออกจากหอไปไหนไกล ๆ ที่เลือกอยู่หอใกล้มหาลัยตั้งแต่แรกก็เพราะกลัวตัวเองจะหลงทางหากต้องนั่งรถมา
“เรียนอยู่ปีไหนแล้วครับคุณหนู?”
“ปีสี่แล้วค่ะ หนูกำลังจะจบ คุณลุงเรียกหนูว่าบลูเบลล์ดีกว่าค่ะ เรียกแบบนั้นหนูไม่ชินเลย” ความเป็นกันเอง ความน่ารัก ทำให้แบงค์เห็นบีเกลแม่ของเวทมนต์ในเมื่อก่อน ไม่แปลกใจที่เจ้านายเลือกเด็กคนนี้เลย
“เรียนบริหารเหรอครับ?”
“เปล่าค่ะ หนูเรียนนิเทศ” ความฝันของเธอคือการได้ทำงานในวงการ เพราะรู้ว่าค่อนข้างที่จะหาเงินง่าย เธออยากมีเงินเยอะ ๆ เพื่อคืนให้กับผู้มีพระคุณและบริจาคให้บ้านเด็กกำพร้าที่เธอเติบโตมา
“เก่งมากเลยครับ ไม่น่าคุณเปลวกับคุณบีเกลชมบ่อย ๆ” บลูเบลล์ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินแบบนั้น อย่างน้อยเธอก็ทำให้ทั้งคู่ได้ภูมิใจในตัวของเธอ การมีคนยินดีกับสิ่งที่เธอทำมันเป็นอะไรที่เธอไม่ได้คาดหวังว่าไว้เลย
“ถึงแล้ว ลงกันเถอะครับ นายน้อยน่าจะอยู่ด้านล่างแล้ว”
“ขอบคุณนะคะ” เธอไหว้แบงค์อีกครั้งและเดินลงจากรถ ก่อนจะมองรอบ ๆ บ้านหลังใหญ่ และค่อย ๆ เดินเข้าบ้านช้า ๆ
“พ่อแม่ฉันจ่ายเธอเท่าไหร่ ฉันจะให้สิบเท่า แล้วไสหัวออกไปซะ!”
“เฮือก!”
