ตอนที่ 5: หยดน้ำตาแรกของนักวิจัย
‘วัตถุพยานหมายเลข 1’ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘บุหรี่’ ได้กลายเป็นศูนย์กลางจักรวาลของกวินไปโดยปริยายตลอดหลายวันที่ผ่านมา เด็กหนุ่มปฏิบัติต่อมันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าจากสุสานฟาโรห์ เขาเก็บมันไว้ในกล่องเหล็กอย่างดี และจะนำออกมาพินิจพิเคราะห์ก็ต่อเมื่ออยู่คนเดียวในห้องเท่านั้น
เขาทั้งดม...ซึ่งให้ผลลัพธ์เป็นกลิ่นยาสูบจางๆ ผสมกับกลิ่นโคโลญจน์เฉพาะตัวของใครบางคนที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทั้งลองเอามาคีบระหว่างนิ้วทำท่าเหมือนจะสูบจริงๆ หน้ากระจก ก่อนจะรีบวางลงแล้วส่ายหัวอย่างแรงกับความคิดบ้าๆ ของตัวเอง
“มึงจะทำพิธีปลุกเสกมันรึไงวะ” ต้าถามขึ้นในเช้า เมื่อเห็นกวินกำลังจ้องมองกล่องเหล็กใบนั้นด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเกินเบอร์
“นี่คือข้อมูล” กวินตอบกลับเสียงขรึม
“การกระทำของเป้าหมายในวันนั้นมันอยู่นอกเหนือทุกทฤษฎี มันคือตัวแปรที่เราต้องทำความเข้าใจ”
“กูว่ามันคือการแกล้งเด็กว่ะ” โอมสรุปอย่างง่ายๆ
“เขาเห็นมึงกลัว เขาก็เลยยิ่งอยากแกล้งให้มึงสับสนเล่น มันคือจิตวิทยาการล่าเหยื่อของนักล่า”
คำว่า ‘ล่าเหยื่อ’ ทำให้กวินรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่ความรู้สึก ‘หวั่นไหว’ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นั้นมันก็ยังคงอยู่ ความสับสนตีรวนกันในหัวจนเขาแทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อภาคินมันคืออะไรกันแน่ ระหว่าง ‘ความกลัว’ ‘ความอยากรู้อยากเห็น’ หรือ ‘ความ...’
...กวินไม่กล้าที่จะคิดต่อ
เพื่อหลีกหนีจากความสับสนวุ่นวายและเสียงแซวของเพื่อนๆ บ่ายวันนั้นกวินจึงปลีกตัวมานั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ กับตึกคณะของตัวเอง มันเป็นมุมสงบที่เขาชอบมานั่งปล่อยอารมณ์และหาแรงบันดาลใจ เขาเปิดสมุดสเก็ตช์ภาพของเขาขึ้นมา หน้ากระดาษที่เคยว่างเปล่าค่อยๆ ถูกเติมเต็มด้วยภาพของป่าสนในจินตนาการที่มีกระท่อมไม้หลังเล็กตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว...มันเป็นภาพที่แสดงถึงความสงบสุขที่เขาโหยหา
เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ลืมเรื่องการวิจัยภาคสนาม ลืมเรื่องลาสบอสใจเถื่อน...โลกทั้งใบของเขาย่อส่วนลงมาเหลือแค่ปลายดินสอและแผ่นกระดาษตรงหน้า
“วาดรูปอะไรของมึงวะ”
เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย!
กวินสะดุ้งสุดตัวราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ดินสอในมือแทบจะร่วงหล่น เขาหันขวับไปมอง แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง...
ภาคิน...กำลังยืนกอดอกก้มลงมองสมุดสเก็ตช์ของเขาอยู่
‘มาได้ยังไง! ที่นี่มันเขตปลอดภัยสีเขียวของผมนะ! ระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติทำงานผิดพลาดเหรอ!’ กวินกรีดร้องในใจ
ภาคินไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่ เขาแค่กำลังจะเดินไปหาเพื่อนที่คณะสถาปัตย์ฯ แต่สายตาก็ดันไปเห็นร่างโปร่งเสียก่อน เด็กหนุ่มตัวเล็กกำลังนั่งอยู่คนเดียว ก้มหน้าก้มตาวาดรูปอย่างตั้งอกตั้งใจจนไม่สนใจโลกรอบข้าง ท่าทางแบบนั้นมันทำให้เขารู้สึก...อยากจะเข้าไปกวนประสาทอย่างบอกไม่ถูก
“ปะ...เปล่าครับ” กวินรีบปิดสมุดลงโดยอัตโนมัติ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
“เปิดดิ๊” ภาคินสั่งเสียงเรียบ
“กูเห็นแล้ว”
กวินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สายตาคมกริบที่จ้องมาทำให้เขาไม่กล้าขัดขืน เด็กหนุ่มค่อยๆ เปิดสมุดออกอีกครั้งด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
ภาคินก้มลงมองภาพวาดป่าสนในจินตนาการนั้นนิ่งๆ อยู่หลายวินาที ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ
“หึ...นี่มันภาพวาดเด็กอนุบาลชัดๆ”
คำพูดนั้นเหมือนค้อนที่ทุบลงมากลางใจของกวินอย่างจัง
“ลายเส้นอ่อนปวกเปียกขนาดนี้...สมแล้วที่เป็นเด็กศิลป์” เขาพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนฟัง
“เสียเวลาเปล่าว่ะ เอาเวลาไปทำอะไรที่มันมีประโยชน์กว่านี้ดีไหม”
แต่ละคำ...แต่ละประโยค...มันเหมือนเข็มนับพันเล่มที่ทิ่มแทงเข้ามาในจุดที่บอบบางที่สุดของกวิน
ที่ผ่านมา...เขาโดนด่า โดนตะคอก โดนดูถูก แต่เขาก็ยังทนได้ เพราะมันเป็นแค่เรื่องภายนอก แต่ครั้งนี้...มันต่างออกไป
ภาคินกำลังวิจารณ์...กำลังดูถูกในสิ่งที่เขารักที่สุด...ศิลปะของเขา...ตัวตนของเขา...
กวินพยายามแล้ว...พยายามจะบอกตัวเองว่านี่เป็นแค่การเก็บข้อมูล เขาต้องมีสติ ต้องเป็นนักวิจัยที่ใจเย็น แต่เขาก็ทำไม่ได้...
ความร้อนผ่าวเริ่มก่อตัวขึ้นที่ขอบตา เขาก้มหน้างุด พยายามจะซ่อนใบหน้าของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจซ่อนหยดน้ำอุ่นๆ ที่เริ่มไหลรินลงมาอาบแก้มได้
เขาไม่ได้สะอื้น...ไม่ได้ร้องไห้โฮ...มีเพียงหยดน้ำตาเงียบๆ ที่ไหลออกมาไม่หยุด มันคือหยดน้ำตาของความเสียใจ...ความน้อยใจ...และความผิดหวัง
ภาคินที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรต่อต้องชะงักงันไปในทันที เมื่อเขาเห็นว่าไหล่เล็กๆ ของคนตรงหน้ากำลังสั่นเทาเบาๆ และเมื่อก้มลงมองดีๆ เขาก็เห็นหยดน้ำที่หยดลงบนหน้ากระดาษ...
‘ฉิบหาย...’
นั่นคือคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของภาคิน เขาแค่ตั้งใจจะแกล้งเล่นๆ ตามประสาคนปากเสีย เขาคาดว่าอีกฝ่ายจะเถียงกลับ หรือไม่ก็กลัวจนตัวหดเหมือนทุกที แต่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เห็นภาพนี้...ภาพของเด็กหนุ่มที่กำลังร้องไห้เงียบๆ เพราะคำพูดของเขา
ความรู้สึกผิดจู่โจมเข้าใส่หัวใจของเขาอย่างจังจนตั้งตัวไม่ติด ออร่ามาคุที่เคยแผ่ออกมามลายหายไปในพริบตา เหลือเพียงชายหนุ่มที่ยืนทำอะไรไม่ถูก
“เฮ้ย...กู...”
เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงกลับจุกอยู่ในลำคอ คำขอโทษที่ควรจะพูดออกไปมันช่างหนักอึ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
กวินรีบใช้หลังมือปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเก็บของใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วโดยไม่ยอมมองหน้าภาคินแม้แต่น้อย
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาพูดเสียงสั่นเครือ แล้วก็รีบเดินจากไปทันที
ภาคินได้แต่ยืนนิ่งมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ที่เดินจากไปจนลับสายตา ในหัวของเขาว่างเปล่าไปหมด...
ความรู้สึกผิด...มันหนักอึ้งกว่าที่เขาคิดไว้มาก
เขาไม่ได้แค่ทำให้เด็กคนนั้นกลัว...แต่ครั้งนี้...เขาทำให้เด็กคนนั้น ‘เสียใจ’
และนั่น...ได้เปลี่ยนทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของการวิจัยครั้งนี้...ไม่ได้เกิดขึ้นกับนักวิจัย...แต่กลับเกิดขึ้นกับ ‘เป้าหมาย’ ของการวิจัยเสียเอง
