ตอนที่ 3: ระบบรวน หรือ กระต่ายกัดเสือ? - 1
สัปดาห์ต่อมา กวินใช้ชีวิตราวกับสายลับในหนังสงครามเย็น หายนะที่โรงอาหารได้ยกระดับความหวาดระแวงของเขาขึ้นสู่ขีดสุด แผนที่ในสมองของเขาถูกอัปเดตจนแทบจะเป็นแผนที่ดาวเทียมเรียลไทม์ เขาสามารถบอกได้ว่าช่วงเวลาไหนที่กลุ่มนักศึกษาวิศวะฯ มักจะเคลื่อนพล และเส้นทางไหนคือเส้นทางอพยพที่ปลอดภัยที่สุด
“กูว่ามึงใกล้จะบ้าแล้วนะกวิน”
ต้าพูดขึ้นขณะที่เห็นเพื่อนรักกำลังใช้แอปพลิเคชันแผนที่ในมือถือซูมเข้าซูมออกบริเวณรอบตึกวิศวะฯ อย่างเคร่งเครียด
“นี่มึงจะคำนวณวิถีกระสุนของพี่เขาเลยรึไง”
“การเตรียมพร้อมคือหัวใจของการเอาตัวรอด” กวินตอบโดยไม่ละสายตาจากจอ
“มิสไซล์นำวิถีลูกนั้นน่ากลัวเกินไป เราประมาทไม่ได้”
โอมที่กำลังดูดชานมไข่มุกอยู่ข้างๆ ส่ายหัวเบาๆ
“กูว่าพี่เขาคงลืมเรื่องพวกมึงไปแล้วมั้ง ป่านนี้เสื้อเขาคงขาวเหมือนเดิมแล้ว”
“แกไม่เข้าใจหรอกโอม” กวินหันมาพูดด้วยแววตาจริงจัง
“เราได้ทำการ ‘ล็อกเป้า’ กับเขาไปแล้วสองครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้เราอยู่ในเรดาร์ของเขาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆ”
ความหวาดระแวงขั้นสุดทำให้จิตวิญญาณศิลปินของกวินเริ่มห่อเหี่ยว เขาต้องการพื้นที่ปลอดภัยเพื่อชาร์จพลังใจและปลดปล่อยจินตนาการ และในบ่ายวันศุกร์อันแสนสงบ เขาก็ตัดสินใจหอบสมุดสเก็ตช์คู่ใจไปยัง ‘ป้อมปราการสีเขียว’ ที่เขาไว้วางใจที่สุด...อัฒจันทร์ข้างสนามฟุตบอล
ที่นี่อยู่ไกลจากตึกวิศวะฯ มากพอสมควร เป็นพื้นที่เปิดโล่ง และที่สำคัญ...มันเงียบสงบ กวินเลือกนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นบนสุด สูดหายใจลึกๆ แล้วเริ่มจรดปลายดินสอลงบนแผ่นกระดาษ ความรู้สึกผ่อนคลายค่อยๆ ไหลกลับเข้ามาในตัวเขาอีกครั้ง
เขานั่งวาดรูปอยู่อย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งเสียงโห่ร้องจากในสนามฟุตบอลดังขึ้นเป็นระยะ ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างเสียไม่ได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ที่ทำให้ระบบปฏิบัติการในสมองของเขาต้องหยุดชะงัก...
ในสนามฟุตบอลนั้น...มีภาคินอยู่ด้วย
หัวใจของกวินกระตุกวูบ สัญชาตญาณแรกสั่งให้เขารีบเก็บของแล้วหนีไปซะ! แต่ทว่า...ระยะห่างที่ปลอดภัยทำให้เขายังพอมีสติอยู่บ้าง เขานั่งนิ่งๆ และเฝ้ามองดูเป้าหมายจากระยะไกล
แต่ภาคินที่เขาเห็นในวันนี้...มันผิดปกติไปมาก
ไม่มีเสื้อช็อป ไม่มีสายตาเย็นชา ไม่มีออร่ามาคุที่พร้อมจะแผ่กระจายออกมาตลอดเวลา มีเพียงชายหนุ่มในชุดบอลที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ กำลังวิ่งไล่ลูกฟุตบอลด้วยท่าทีที่มุ่งมั่น และที่สำคัญที่สุด...เขากำลังหัวเราะ
‘เดี๋ยวนะ...อะไรนะ...’ กวินขยี้ตาตัวเองแรงๆ สองสามครั้ง
‘นั่น...นั่นรอยยิ้มเหรอ? บอสประจำเซิร์ฟเวอร์...มีฟังก์ชันนี้ด้วยเหรอ? หรือว่านี่เป็นอีสเตอร์เอ้กของเกม? หรือเป็นบั๊ก? หรือว่าเซิร์ฟเวอร์กำลังจะปิดปรับปรุง!?’
ภาพภาคินที่กำลังหัวเราะกับเพื่อนหลังจากยิงประตูได้ มันช่างเป็นภาพที่เหนือจริงสำหรับกวิน เขายิ้มกว้างจนเห็นฟันเกือบครบทุกซี่ ดวงตาที่เคยคมกริบจนน่ากลัว ตอนนี้กลับหยีลงอย่างเป็นธรรมชาติ มันเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ...และดูเป็นมนุษย์ปกติอย่างไม่น่าเชื่อ
กวินนั่งอึ้งไปพักใหญ่ สมองของเขาพยายามประมวลผลข้อมูลใหม่ที่ขัดแย้งกับข้อมูลเดิมอย่างสิ้นเชิง
‘หรือว่า...เขาจะมีสองโหมด?’ กวินเริ่มตั้งทฤษฎี
‘โหมดปกติ: นักศึกษาชายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ โหมดเบอร์เซิร์กเกอร์: พี่ว้ากใจยักษ์ผู้พร้อมทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง?’
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นในฐานะศิลปินผู้สังเกตการณ์ กวินเปิดสมุดสเก็ตช์หน้าใหม่ เขาเริ่มร่างภาพของภาคินใน ‘โหมดปกติ’ อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะความชื่นชมในเชิงชู้สาว แต่เป็นความทึ่งในเชิงมานุษยวิทยา...เขาต้องบันทึกข้อมูลของสปีชีส์ที่ซับซ้อนและอันตรายนี้เอาไว้
