11/1
หลังจากแต่งงานมาได้ 3 วัน โรฮันน่าก็รบเร้าให้ชวดลพาไปฮันนีมูน และหวังจะใช้ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพังนี้มัดใจชวดลให้อยู่หมัด เรียกว่าถ้าทำให้บอกรักได้เลยเป็นดี จุดมุ่งหมายของเธออยู่ที่การทำให้เขาเอ่ยปากบอกรัก หญิงสาวจดจำคำพูดของรามิลที่บอกว่า การแต่งงานเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ทว่าการใช้ชีวิตหลังจากแต่งงานต่างหากที่เป็นเส้นชัย พี่ชายมั่นใจว่าเธอจะต้องทำให้สามีหมาดๆ รักได้ แล้วไยเธอท้อแท้หมดหวังด้วยเล่า
“พี่รามช่วยคิดหน่อยสิคะว่าฮันน่าควรจะทำยังไงให้พี่โดมบอกรักได้” เธอถามเขาในตอนสายของการใช้ชีวิตสามีภรรยากับชวดลในวันแรก เช้านั้นสามีของเธอออกไปทำงานตามปกติแล้วปล่อยให้เธอพักผ่อนอยู่กับบ้าน ซึ่งก็เป็นโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดพี่ชายให้เต็มที่
“ฮันน่าก็ชวนนายโดมไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองสิ ฮันนีมูนไง คิดไว้หรือยังว่าจะไปไหน” รามิลถาม
“เราไม่ได้คุยเรื่องไปฮันนีมูนกันเลยค่ะพี่ราม” คนเป็นน้องตอบออกไปเสียงแผ่ว หน้าจ๋อยเสียจนคนเป็นพี่นึกสงสาร
“เอาน่ะ” พี่ชายตบบ่าเล็กเบาๆ “ฮันน่าก็ชวนซะเลยสิ พี่ว่าช่วงนี้นายโดมไม่กล้าขัดใจฮันน่าหรอกนะ”
หลังจากรามิลชี้ทางออกให้ เย็นนั้นหญิงสาวจึงลงมือทำอาหารโดยอาศัยตำราทำอาหารที่ดั้นด้นออกไปหาซื้อมาเพื่อเย็นนี้โดยเฉพาะ และวันนี้ก็ทำให้เธอรู้ว่าการทำอาหารด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องง่ายแต่พอได้ทำแล้วก็สนุกไม่เบา
โรฮันน่าจัดการอาบน้ำอาบท่าจนแน่ใจว่าตัวหอมก็ออกมานั่งรอสามีที่ห้องโถง เสียงรถของเขาตีวงเข้ามาจอดเธอก็รีบกุลีกุจอออกไปรับกระเป๋าและเสื้อนอกมาช่วยถือ
นี่คือหน้าที่ของภรรยาที่พึงกระทำต่อสามี ตำราที่คุณยายให้ไว้ว่าอย่างนั้น
“ไม่ต้องหรอก พี่ถือเองได้” ชวดลปฏิเสธและแปลกใจไม่น้อยกับทีท่าของภรรยา “สิ่งที่พี่ต้องการให้เธอทำ ไม่ใช่ให้เธอออกมารับแล้วถือของเข้าไปให้ แต่ที่พี่ต้องการคือรอยยิ้มและกำลังใจจากเธอต่างหาก”
“กำลังใจ?” ไอ้รอยยิ้มน่ะเข้าใจ แต่กำลังใจนี่คืออะไรล่ะ
ชวดลให้คำตอบด้วยการเกี่ยวเอวบางดึงเข้าประชิด แล้วตาของโรฮันน่าก็พร่าเลือนเมื่อใบหน้าคมเข้มโน้มต่ำลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วินาทีริมฝีปากอุ่นร้อนก็ทาบบนกลีบปากนุ่มแล้วถอยห่างเพียงเล็กน้อย เพื่อหลุบตามองกวาดไปทั่วใบหน้าหวานสวยแล้วกดจูบลงอีกครั้งที่แนบแน่นกว่าเดิม
โรฮันน่าถอนใจยาว ความวาบหวามกำลังทำให้เธอเคลิบเคลิ้ม นี่ขนาดเขาไม่ได้รุกล้ำเข้าไปสำรวจในปากเธอ ยังสั่นคลอนความรู้สึกจนหัวใจเต้นแรงโลดได้ขนาดนี้ แต่เธออยากได้มากกว่านี้จึงเผยอปากรอรับการค้นคว้าจากเขา ทว่าชวดลกลับถอยห่าง
“ถ้าเริ่มแล้วจะไม่หยุดอยู่แค่จูบ ขึ้นห้องก่อนเถอะ”
ตอนนั้นเองที่หญิงสาวรู้ว่ากำลังยืนกอดกับสามีอยู่กลางห้องโถง แม้จะไม่มีใครอื่นก็จริงแต่เธอจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีใครแอบมอง ใบหน้าแดงซ่านลามเลียไปถึงใบหูอย่างน่าเอ็นดู ชวดลแย้มยิ้มแล้วยกมือขึ้นยีผมสลวยเบาๆ
“อ๊ะ! เดี๋ยวผมยุ่งหมด ฮันน่าเสียเวลานั่งแปรงผมตั้ง 100 ครั้ง เชียวนะคะ”
“หืม...ถึงว่าตัวหอมเชียว เพิ่งอาบน้ำนี่เอง ทำไมไม่รออาบด้วยกันล่ะ แบบนี้พี่ก็เหงาแย่สิ” สองประโยคท้ายเขาก้มลงกระซิบข้างหู แล้วเกี่ยวเอวเล็กให้เดินตามกันไป
“ฮันน่าทำกับข้าวไว้รอพี่โดมแล้วนะคะ แต่ว่า...ไม่รู้จะถูกปากหรือเปล่า เพราะฮันน่าทำตามตำราเป๊ะ”
คราวนี้ร่างสูงถึงกับชะงักก้มลงมองคนตัวเล็กในอ้อมแขน สีหน้ากระตือรือร้นนั่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด จากที่คิดจะขึ้นห้องแล้วร่วมรักกับเธอให้สมกับที่ทนคิดถึงมาทั้งวัน จึงเปลี่ยนเป็นเลี้ยวเข้าไปยังห้องรับประทานอาหารของคฤหาสน์อัครเดชไพศาล
“พี่ไม่เห็นใครสักคน เขาไปไหนกันหมด”
“คุณยายไปงานเลี้ยง คุณพ่อกับคุณแม่ไปพบลูกค้า คุณลุงกับคุณป้าไม่ทราบค่ะ ส่วนพี่รามออกไปท่องราตรีตั้งแต่ยังไม่มืด”
ชวดลพยักหน้าเพียงเล็กน้อย แล้วเรียกให้เด็กรับใช้ยกอาหารออกมาได้เลย
“พี่โดมจะทานเลยหรือคะ นี่ยังไม่ได้เวลาทานข้าวเย็นเลยนะ” โรฮันน่าบอก เพราะเวลาทานข้าเย็นปกติจะเป็นเวลา 1 ทุ่มตรง นี่ก็เพิ่งจะ 5 โมงครึ่ง แสดงว่าเขารีบกลับมาสินะ
“ก็ฮันน่าอุตส่าห์ทำให้พี่กิน แล้วพี่จะเสียเวลาไปทำไม คนอื่นๆ เขาคงออกไปหาอะไรทานนอกบ้านหมดแล้วล่ะ”
ถ้าอยากทานฝีมือเธอขนาดนี้ สงสัยเธอคงต้องนั่งลุ้นจนตัวโก่งว่ารสชาติอาหารจะถูกปากคนเป็นสามีหรือไม่
ชวดลมองอาหารหน้าตาแปลกๆ ในแวบแรก แต่ในแวบต่อมาก็มองทะลุเข้าไปเห็นความอุตสาหะของคนอยากจะเป็นแม่ศรีเรือน เขาอมยิ้มแล้วตักชิมอาหารจานแรก โรฮันน่าสาบานได้ว่าเห็นรอยยิ้มเฝื่อนๆ เธอใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ลุ้นจากสีหน้าของเขา
จากสตูไก่ก็มาถึงสเต็กเนื้อพริกไทยดำ คราวนี้ชวดลถึงกับนิ่วหน้า
“ไม่อร่อยเลยใช่มั้ยคะ” คนทำก็ใจเสียหน้าเสีย
“เนื้อไม่สุก ข้างนอกไหม้ ข้างในดิบ สตูไก่ก็ไม่เหมือนสตู อย่าให้บอกเลยนะว่าเหมือนอะไร เพราะพี่เองก็บอกไม่ได้ แล้วนี่ล่ะ”
“เอ่อ...นั่นซุบผักใส่มักกะโรนีค่ะ”
ชายหนุ่มตักเข้าปากแล้วแทบพ่น แต่พอเห็นคนทำหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้ เขาก็กลืนมันลงคอแทน
“ถ้าฮันน่าอยากหัดทำอาหารให้พี่ทาน ทีหลังเลือกทำที่มันง่ายๆ ผัดๆ ทอดๆ แค่กินได้แล้วไม่ไหม้ก็พอ รสชาติพี่ไม่เกี่ยง”
