10 มืดแปดด้าน
ความคิดของสิงขรวกกลับไปที่เกตุศิรินทร์ ราวกับมีเงาบางอย่างคอยรบกวนจิตใจ เลขาสาวผู้มีดวงตาเศร้าสร้อยราวกับแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า และความลับที่ซ่อนลึกจนยากจะหยั่งถึง คำเตือนแผ่วเบาแต่หนักแน่นของเธอยังคงดังก้องอยู่ในหู ทำไมเธอถึงเตือนเขา? เธอรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่? หรือเป็นเพียงความหวังดีจากคนแปลกหน้า?
สิงขรตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดไปยังหมายเลขของหมอสิริธรณ์ นายแพทย์นิติเวชผู้สุขุม เพื่อสอบถามผลการชันสูตรศพเหยื่ออย่างละเอียดอีกครั้ง เผื่อจะมีรายละเอียดเล็กน้อยใดๆ ที่พวกเขาอาจมองข้ามไป
“คุณหมอสิริธรณ์ครับ ผมร้อยตำรวจโทสิงขรนะครับ” สิงขรเอ่ยเสียงทุ้ม
“ครับคุณสิงขร มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ?” เสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ของหมอสิริธรณ์ดังมาจากปลายสาย
“ผมอยากจะสอบถามเกี่ยวกับลักษณะบาดแผลของเหยื่อทุกรายอีกครั้งครับ โดยเฉพาะบริเวณหัวใจ รบกวนคุณหมออีกครั้งนะครับ” สิงขรเน้นย้ำ
“ครับ” หมอสิริธรณ์ตอบรับอย่างเต็มใจ “บาดแผลที่บริเวณทรวงอกถูกคว้านออกอย่างแม่นยำ ราวกับถูกกระทำโดยผู้ที่มีความชำนาญ... หรือเครื่องมือพิเศษครับ และที่น่าแปลกคือไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ที่ชัดเจน เหยื่อแต่ละรายดูเหมือนจะไม่ทันตั้งตัว ราวกับถูกทำให้สงบนิ่งก่อนลงมือ”
“ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้... ราวกับถูกทำให้หมดสติก่อน?” สิงขรพึมพำกับตัวเอง ดวงตาเข้มครุ่นคิด
“เป็นไปได้ครับคุณสิงขร และที่สำคัญคือไม่พบร่องรอยของดีเอ็นเออื่นที่ไม่ใช่ของเหยื่อในที่เกิดเหตุเลยครับ” หมอสิริธรณ์เสริม
ข้อมูลนี้ยิ่งทำให้สิงขรรู้สึกหนักใจ ฆาตกรไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ตามที่ศิลาจารึกโบราณกล่าวถึง มันก็อาจจะอธิบายความผิดปกติเหล่านี้ได้... ความเงียบงัน ไร้ร่องรอย ราวกับไม่ใช่ฝีมือมนุษย์
หลังจากวางสายจากหมอสิริธรณ์ สิงขรก็โทรหาหมอโสภิตา จิตแพทย์สาวผู้มีเหตุผลในทีมสืบสวน เพื่อขอความคิดเห็นเกี่ยวกับแรงจูงใจอันดำมืดของฆาตกร
“คุณหมอโสภิตาครับ จากลักษณะการฆ่าที่เหี้ยมโหดและซ้ำเดิม คุณพอจะวิเคราะห์แรงจูงใจของคนร้ายได้ไหมครับ?” สิงขรถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จากข้อมูลที่คุณตำรวจให้มา ลักษณะการคว้านหัวใจอาจจะสื่อถึงความต้องการพลังอำนาจ หรือความเชื่อในพิธีกรรมบางอย่างค่ะ การกระทำซ้ำๆ ในคืนวันเพ็ญก็อาจจะมีความหมายทางสัญลักษณ์ด้วยเช่นกัน” หมอโสภิตาให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา
“พลังอำนาจ... หรือพิธีกรรม...” คำพูดของหมอโสภิตายิ่งตอกย้ำสิ่งที่สิงขรและคมกฤชค้นพบเกี่ยวกับตำนานโบราณอันน่าสะพรึงกลัว
ในขณะที่ทีมของสิงขรกำลังรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจนจิรา นักข่าวสาวผู้ไม่เคยเกรงกลัวใคร ก็ยังคงเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด บทความล่าสุดของเธอพาดหัวด้วยคำที่ชวนขนลุกว่า
“ผีดิบผู้ปลิดชีพในคืนจันทรา” โดยเธออ้างถึงตำนานโบราณและความเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้สิงขรเริ่มรู้สึกว่าเจนจิราอาจจะรู้... หรือสัมผัสอะไรบางอย่างที่เหนือกว่าสามัญสำนึกได้
สิงขรตัดสินใจโทรหาเจนจิรา แม้จะเคยขัดแย้งกัน แต่บางทีข้อมูลจากเธอก็อาจมีประโยชน์
“คุณเจนจิรา ผมร้อยตำรวจโทสิงขรนะครับ”
“อ้าว คุณตำรวจ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เสียงของเจนจิราฟังดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความมั่นใจ
“ผมอยากจะคุยกับคุณเรื่องบทความล่าสุดของคุณ” สิงขรกล่าวเสียงเรียบ
“คุณตำรวจไม่เชื่อเรื่องที่ฉันเขียนไม่ใช่เเหรอคะ?” น้ำเสียงของนักข่าวสาวเต็มไปด้วยความท้าทาย
“ผมแค่อยากทราบว่าคุณได้ข้อมูลเหล่านั้นมาจากไหน” สิงขรตอบอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม
เจนจิราเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังชั่งใจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างลึกลับ
“ฉัน... ฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการตายเหล่านั้น มันไม่ใช่แค่ฆาตกรธรรมดา”
คำพูดของเจนจิราทำให้สิงขรชะงัก ความไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติของเขาเริ่มสั่นคลอน สิ่งที่เขาและทีมกำลังเผชิญหน้าอยู่ มันยากที่จะอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว
“คุณพอจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมได้ไหม?” สิงขรถามอย่างใคร่รู้
“ฉันรู้สึกถึงความแค้น... ความโกรธ... และความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป” เจนจิรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง หนักแน่น
สิงขรเงียบไป ความคิดของเขาเริ่มเชื่อมโยงสิ่งที่เจนจิราสัมผัสได้ กับตำนานมนทิราณีเทวี ที่ถูกกล่าวถึงในคำสาปโบราณอย่างน่าประหลาด... บางทีสิ่งที่เจนจิราสัมผัสได้ อาจเป็นร่องรอยของพลังอำนาจโบราณที่ยังคงวนเวียนอยู่ก็เป็นได้
ชานนท์ผู้มุ่งมั่นหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้เชยชมเกตุศิรินทร์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าพิธีวิวาห์ จึงโทรนัดหมายขอพบเธอราวกับเป็นครั้งสุดท้าย ทว่า... แผนการอันเห็นแก่ตัวนั้นกลับนำพาเขาไปสู่วังวนแห่งเสน่ห์อันตราย
ณ คฤหาสน์เทวาลัย สุริยาวดีในอาภรณ์ผ้าไหมสีเขียวมรกต ราวกับเทพธิดาจำแลงกาย ยืนรอต้อนรับอยู่บนบันได ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยว จ้องมองตรงมายังชานนท์ พร้อมรอยยิ้มเย้ายวนที่มุมปาก ราวกับหล่อนพญางูพิษที่กำลังรอเหยื่อ
ทันทีที่สายตาของชานนท์ประสานเข้ากับดวงตาคู่นั้น ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแรงสูงแล่นปราดเข้าสู่ร่าง แววตาที่เคยอ้อนวอนเกตุศิรินทร์เมื่อครู่ กลับแปรเปลี่ยนเป็นความลุ่มหลงเธออย่างประหลาด ราวกับถูกมนตร์สะกดให้ตกอยู่ในภวังค์
“สวัสดีครับ” ชานนท์เอ่ยทักทายนออกมาอย่างลืมตัว ดวงตาของเขาตรึงอยู่กับร่างงามที่ค่อยๆ ก้าวลงบันไดมาด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับหล่อนพญา
“สวัสดีค่ะ” สุริยาวดีเอ่ยเสียงหวาน ราวกับเสียงกระซิบจากสรวงสวรรค์ พลางจ้องมองชานนท์ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันร้ายกาจ
“ผมหาเกตุครับ เธออยู่มั้ย” ชานนท์ตอบเสียงแหบพร่า ดวงตาของเขาไม่อาจละไปจากสุริยาวดีได้เลย
เกตุศิรินทร์มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ตีกันวุ่นวายในอก เธอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในแววตาของชานนท์ และรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัยของสุริยาวดีอย่างชัดเจน
“นั่นไงคะ มาพอดีเลย” สุริยาวดีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเลขาฯ ส่วนตัวเดินออกมาจากห้องโถง
“คุณสุริยาวดีคะ นี่คุณชานนท์... เพื่อนของฉันค่ะ” เกตุศิรินทร์แนะนำด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความประหลาดใจระคนหวั่นไหว
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณชานนท์” สุริยาวดีกล่าวเสียงหวานจับใจ พลางยื่นมือเรียวสวยไปสัมผัสมือของชานนท์เพียงแผ่วเบา ทว่าการสัมผัสนั้นกลับราวกับกระแสไฟฟ้าที่ช็อตเข้าสู่ร่าง ดูดดึงความสนใจของชานนท์ไปอย่างสิ้นเชิง
ชานนท์จับมือของสุริยาวดีราวกับต้องมนต์สะกด ดวงตาของเขาฉายแววชื่นชมอย่างเปิดเผย
“เช่นกันครับคุณสุริยาวดี” เขาตอบเสียงแผ่ว ราวกับคนละเมอ รอยยิ้มของเธอจุดประกายความปรารถนาในหัวใจของชานนท์ให้ลุกโชนขึ้นทันที
