9 คำสาปโบราณ
สิงขรและคมกฤชก้มลงพิจารณาเศษซากศิลาจารึกแผ่นที่สองอย่างละเอียด แม้ว่าบางส่วนจะถูกทำลายไป แต่ก็ยังมีข้อความที่พอจะอ่านออกหลงเหลืออยู่ แสงไฟฉายส่องกระทบตัวอักษรโบราณที่สลักลึกลงไปในเนื้อหิน “ตรงนี้... เขียนว่า” คมกฤชพยายามอ่านออกเสียง สิงขรไล่สายตาไปยังส่วนอื่นๆ ที่ยังสมบูรณ์
“ผีดิบจักคืนชีพ... ในคืนจันทราเต็มดวง...”
เกตุศิรินทร์ยืนตัวสั่นอยู่ด้านหลัง มองเศษหินเหล่านั้นด้วยความหวาดผวา
“พวกคุณคิดว่าเมื่อกี้มันคือตัวอะไรคะ?”
“เรายังไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนมันต้องการที่จะปกปิดอะไรบางอย่างที่อยู่ในศิลาจารึกแผ่นนี้” สิงขรตอบ พลางเก็บเศษหินชิ้นเล็กๆ ที่มีตัวอักษรติดอยู่ใส่ถุงพลาสติก
“เราต้องเอาเศษซากพวกนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ”
“แล้วทำไมมันถึงทำร้ายตู้ที่เก็บศิลาจารึกแผ่นแรกด้วยล่ะคะ?” คมกฤชสงสัย
“บางทีศิลาจารึกแผ่นแรกอาจจะมีข้อมูลบางอย่างที่มันไม่อยากให้เรารู้ก็ได้” สิงขรคาดการณ์ ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของคมกฤชก็ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมารับ
“ว่าไงครับอาจารย์... ครับ... จริงเหรอครับ?... เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับอาจารย์” คมกฤชวางสาย สีหน้าของเขาดูตกใจเล็กน้อย
“อาจารย์ฌองโทรมา” คมกฤชบอกสิงขร
“เขาอ่านใจความสำคัญบางส่วนของศิลาจารึกแผ่นแรกได้แล้ว”
“ว่ายังไง?” สิงขรรีบถาม
“ในศิลาจารึกแผ่นแรกมีการกล่าวถึงเมืองสิงหปุระบรรพต เมืองที่สร้างขึ้นโดยราชินีมนทิราณีเทวี... และยังมีการพูดถึง ‘คนที่ถูกควักหัวใจ’ จะถูกปลุกขึ้นมาในคืนวันเพ็ญเพื่อรับใช้นาง” คำพูดของคมกฤชทำให้ทั้งสามคนเงียบไปชั่วครู่ ความเชื่อมโยงระหว่างตำนานมนทิราณีเทวี เหตุการณ์ประหลาดที่พวกเขาเจอ และคดีฆาตกรรมเริ่มชัดเจนขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัว
“ผู้รับใช้งั้นเหรอ... มึงคิดว่าไอ้เงาดำเมื่อกี้มันคือ...” สิงขรพูดไม่ออก
“มันอาจจะเป็นหนึ่งใน ผู้รับใช้ ที่ถูกปลุกขึ้นมาตามที่ศิลาจารึกกล่าวถึงก็ได้” คมกฤชตอบด้วยน้ำเสียงเครียด เกตุศิรินทร์หน้าซีดเผือด
“แล้วทำไมมันถึงพยายามทำลายศิลาจารึก?”
“บางทีเนื้อหาในศิลาจารึกอาจจะเป็นอันตรายต่อมัน หรือต่อคนที่ปลุกมันขึ้นมา” สิงขรคาดการณ์
“คุณสุริยาวดี...” เกตุศิรินทร์พึมพำชื่อเจ้านายของเธอออกมาอย่างไม่ตั้งใจ สิงขรและคมกฤชหันไปมองหน้าเธออย่างพร้อมเพรียง
“คุณคิดว่าคุณสุริยาวดีเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหรอ?” สิงขรถาม เกตุศิรินทร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ฉัน... ฉันไม่แน่ใจค่ะ แต่ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ ฉันก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มัน... แปลกๆ”
“แปลกยังไง?” คมกฤชถาม
“เหมือนมีพลังงานบางอย่างอยู่ในคฤหาสน์... โดยเฉพาะในเวลากลางคืน บางครั้งฉันก็ได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนเสียงกระซิบ หรือเสียงคร่ำครวญ” เกตุศิรินทร์เล่าด้วยความหวาดกลัว สิงขรมองหน้าเธออย่างพิจารณา เขารู้สึกว่าเกตุศิรินทร์กำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้
“คุณพอจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมได้ไหม?” สิงขรถาม เกตุศิรินทร์ส่ายหน้า
“ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงค่ะ มันเป็นแค่ความรู้สึก...” ทันใดนั้นเอง แสงไฟในห้องใต้ดินก็กลับมาสว่างขึ้นอีกครั้ง ความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่เมื่อครู่จางหายไป ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเสียหายของตู้กระจกและเศษซากศิลาจารึก “เราต้องออกจากที่นี่ก่อน” สิงขรตัดสินใจ
“เราต้องเอาเศษซากทั้งหมดนี้ไปวิเคราะห์อย่างละเอียด คุณเกตุศิรินทร์คงจะไม่ว่าอะไรนะครับ”
“ค่ะ แต่อย่างไรถ้าตรวจสอบเสร็จแล้ว รบกวนเอามาคืนด้วยนะคะ นี่ฉันยังไม่รู้จะบอกคุณสุริยาวดีว่าอย่างไรเลย”
“ก็บอกไปสิครับ ว่ามีคนมาทำลาย แล้วมันก็ไม่ใช่คน”
“แต่ฉันเป็นคนขัดคำสั่งเธอนะคะ”
“โอเคครับ แล้วผมจะรีบนำมาคืนให้เร็วที่สุด”
พวกเขาออกจากห้องใต้ดินและขึ้นไปยังห้องโถง เกตุศิรินทร์ดูโล่งใจที่ได้ออกมาจากบรรยากาศที่น่าอึดอัดนั้น
“ขอบคุณมากนะครับคุณเกตุศิรินทร์สำหรับความช่วยเหลือ” สิงขรกล่าว
“ด้วยความยินดีค่ะคุณตำรวจ ระวังตัวกันด้วยนะคะ” เกตุศิรินทร์เตือนด้วยความเป็นห่วง สิงขรและคมกฤชออกจากคฤหาสน์เทวาลัย พวกเขามุ่งหน้ากลับไปยังสถานีตำรวจพร้อมกับเศษซากศิลาจารึกและความรู้สึกหนักอึ้งในใจ พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้ความจริงเบื้องหลังคดีฆาตกรรมนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน อันตรายก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ในห้องทำงานของคมกฤช ทั้งสองคนกางแผนผังของคฤหาสน์เทวาลัยที่สิงขรวาดคร่าวๆ ขึ้นมา พวกเขาวิเคราะห์ตำแหน่งของห้องโถง ห้องใต้ดิน และทิศทางที่เงาดำนั้นหายไป
“มึงคิดว่าห้องใต้ดินนั่นมีอะไรซ่อนอยู่อีก?” สิงขรถาม
“อาจจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม หรือพลังอำนาจของมนทิราณีเทวีตามที่ศิลาจารึกกล่าวถึง” คมกฤชคาดการณ์
“แล้วไอ้เงาดำนั่น... มันเป็นแค่ผี หรือมันมีอะไรมากกว่านั้น?” สิงขรยังคงสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาเผชิญหน้า “จากที่เห็น... มันไม่ใช่ผีธรรมดา มันมีความแข็งแกร่งและว่องไวมาก บางทีมันอาจจะเป็น ผีดิบผู้รับใช้เจ้านางตามตำราก็ได้” คมกฤชตอบด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก ทันใดนั้นเอง คมกฤชก็หยิบตำราโบราณเล่มหนึ่งขึ้นมา พลิกหน้ากระดาษไปมาอย่างรวดเร็ว
“กูเจออะไรบางอย่างที่น่าสนใจว่ะ” คมกฤชกล่าว พลางชี้ไปยังข้อความในตำรา
“ในนี้มีการกล่าวถึงคำสาปโบราณ ที่จะส่งผลต่อผู้ที่ปลุกพลังมืดขึ้นมา”
“คำสาป?” สิงขรถามด้วยความสนใจ
“ใช่ ตำราบอกว่า เมื่อเงาแห่งอดีตคืนชีพ ความตายจักตามมา หากผู้ปลุกมิอาจควบคุมพลังแห่งรัตติกาล คำสาปโบราณจักหวนคืน กลืนกินทุกสิ่งให้จมดิ่งสู่ความมืดมิด” คมกฤชอ่านข้อความนั้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม สิงขรและคมกฤชสบตากัน ความเงียบปกคลุมห้องอีกครั้ง บัดนี้พวกเขารู้แล้วว่าสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหน้า ไม่ใช่แค่คดีฆาตกรรมธรรมดา แต่มันอาจจะเกี่ยวข้องกับพลังลึกลับและคำสาปโบราณก็เป็นได้
คำสาปโบราณที่คมกฤชอ่านดังก้องอยู่ในความคิดของสิงขร “เมื่อเงาแห่งอดีตคืนชีพ ความตายจักตามมา...” มันราวกับเป็นคำเตือนถึงสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่ เงาแห่งความตายที่ถูกปลุกขึ้นมาในคืนจันทราเต็มดวง... มันคืออะไรกันแน่? และใครคือผู้ที่ปลุกพลังแห่งรัตติกาลนั้น?
“มึงคิดว่า ‘เงาแห่งอดีต’ ที่ว่า หมายถึงอะไร?” สิงขรถามคมกฤช
“อาจจะหมายถึงวิญญาณ หรือพลังงานบางอย่างที่ถูกกักเก็บไว้ในอดีต แล้วถูกปลุกขึ้นมาในปัจจุบัน” คมกฤชคาดการณ์ “หรือไม่มันอาจจะหมายถึงตัวของเจ้านางมนทิราณีเทวีเองก็ได้ ถ้าตำนานที่ว่านางเป็นอมตะเป็นเรื่องจริง”
ความคิดนั้นทำให้สิงขรรู้สึกเย็นเยียบไปถึงกระดูกสันหลัง สุริยาวดี... หญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนราชินีในตำนาน และคฤหาสน์โบราณที่เต็มไปด้วยความลับ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
“เราต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมนทิราณีเทวี และเมืองสิงหปุระบรรพต”
“บางทีประวัติศาสตร์เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้อาจจะไขปริศนาทั้งหมดได้”สิงขรรีบบอกเพื่อน
“กูจะลองค้นคว้าดู” คมกฤชรับปาก พลางกลับไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม
สิงขรเดินไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง หยิบแฟ้มคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้นมาทบทวน รูปถ่ายของเหยื่อแต่ละรายถูกวางเรียงกัน ดวงตาที่ว่างเปล่าของพวกเขาจ้องมองขึ้นมาอย่างเว้าวอน ทุกรายถูกควักหัวใจในคืนวันเพ็ญ... รูปแบบการฆ่าที่สยดสยองนี้เชื่อมโยงกับพิธีกรรมโบราณตามที่คมกฤชบอกหรือไม่?
