บทที่ 2.2 แรกพบ แลกรัก
รถปิกอัพเลี้ยวเข้าจอดด้านข้างของโรงแรมดำรงค์ธานี บริเวณทางเข้าสินค้า มีพนักงาน 2 คน สวมเสื้อคลุมพลาสติกใสกันเปื้อน ยืนรออยู่กับคนควบคุมในสูทหรูสีดำ
“สวัสดีครับคุณตุลย์วัฒน์” ชายผู้มีตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบริการรีบออกมาต้อนรับคนมาเยือน
“สวัสดีครับคุณดิลก ผมเอาส้มมาส่งตรงเวลานะครับ”
“อ้าวคุณภัทรนันท์...ทำไมมากับคุณตุลย์ได้ล่ะครับเนี่ย” ดิลกหันมายิ้ม ด้วยความแปลกใจ
“บังเอิญน่ะครับ” ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเป็นฝ่ายชิงตอบ
“ครับ ดีเลยคุณสองคนจะได้รู้จักกันไว้ นี่คุณภัทรนันท์ นักโภชนาการคนใหม่ครับ” ดิลกเว้นช่วงหายใจก่อนจะพูดต่อ
“แล้วนี่คุณตุลย์วัฒน์ เสรีดำรงค์ รองประธานกรรมการของโรงแรมดำรงค์ธานี และเจ้าของไร่ส้มสายธาร ที่ผลิตส้ม
คุณภาพชั้นดี” ภัทรนันท์ถึงกับหน้าแดงแฝงความร้อนผ่าวขึ้นทันที เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มที่ยั่วอารมณ์เธอเมื่อเช้าเป็นเจ้านาย แถมมีดีกรีตำแหน่งรองประธานกรรมการอีกด้วย หญิงสาวอึกอักทำอะไรไม่ถูก เธอได้แต่ชำเลืองมองเจ้านายหนุ่มอย่างหวาดระแวง
“หวิดตกงานแล้วไหม๊ล่ะยัยเพลง” ประโยคนี้ถูกกล่าวขึ้นโดยเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งหลังจากหญิงสาวได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดภายในห้องพักพนักงาน
“อย่าซ้ำเติมฉันนะ...ยัยจีจ้า” ภัทรนันท์แหววใส่เพื่อนทันที
“ฉันชื่อจ้าเฉยๆ ไม่ใช่จีจ้า...เรียกมากๆ เดี๋ยวแม่ก็บู๊ซะให้หรอก” จิดาภา หรือจ้า เพื่อนร่วมงานคนสนิทบ่นใส่อย่างไม่พอใจกับการถูกเรียกชื่อราวกับนางเอกหนังบู๊
“ฮึ ฮึ ก็เธอน่ะมันนักบู๊อยู่แล้วนี่...โอ๊ย ฉันจะทำยังไงดี” ภัทรนันท์พูดพร้อมกับกุมขมับด้วยมือคู่เรียว
“เอ่อ ทำใจดีๆ ไว้น่าเพลง...คุณตุลย์วัฒน์เค้าคงไม่ใจร้ายถึงขนาดไล่เธอออกหรอกนะ” คำปลอบใจของเพื่อนมันยิ่งตอกย้ำให้เธอกลุ้มใจมากขึ้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เธอส่งเสียงแหววกับสายตาอาฆาตให้ชายผู้อาสาช่วยเหลือ หรืออีกนามหนึ่ง ตุลย์วัฒน์ เสรีดำรงค์ เจ้านายของเธอ
รถปิกอัพสีดำแล่นออกจากตัวเมืองโดยใช้เวลาไม่นานนัก ชายคนขับปล่อยอารมณ์อย่างสบายใจนิ้วมือเคาะพ่วงมาลัยรถตามจังหวะเพลงที่เปิดคลอเบาๆ ตุลย์วัฒน์ยังคงยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าหวานๆ นัยน์ตาเป็นประกายชวนฝันของนักโภชนาการสาว ความน่ารัก สดใส ทำให้เขาติดใจ อยากรู้จักใกล้ชิดเธอมากกว่านี้ เรียวปากเล็กบางช่างน่าสัมผัสลิ้มรสเสียจริง
“บ้าเอ๊ย ไอ้ตุลย์นี่แกคิดอะไรอยู่วะ...เจอแค่วันเดียวถึงกับเพ้อหาเลยเหรอ ฮ่าๆๆ” ตุลย์วัฒน์บ่นตัวเองขณะจอดรถหน้าบ้านไม้หลังงาม
“อาตุลย์กลับมาแล้ว...เย้ๆ” หลานชายตัวน้อยวิ่งมาหาพร้อมกระโดดตัวลอยให้ผู้เป็นอารับ ด้วยความเคยชิน
“มาให้อาชื่นใจหน่อยซิ...อืม...ชื่นใจจริงๆเลย” อาหนุ่มอุ้มหลานชายเข้าบ้าน แขนเล็กโอบรอบคอของเค้า
“เหนื่อยไหม๊ครับอาตุลย์”
“ไม่เหนื่อยครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมวางร่างเล็กๆลงบนโซฟาสีน้ำตาลเข้ม ที่ถูกเลือกมาให้เข้ากับสีของไม้
“วันนี้พี่ตัวตุ่น ช่วยจัดห้องของเล่นให้ตัวต่อครับ” เด็กน้อยเล่ากิจกรรมที่ได้ทำอย่างภาคภูมิใจ รอยยิ้มร่าเริงยังคงมีให้เห็นตลอดเวลาในบ้านหลังนี้ที่เขาให้ชื่อมันว่า บ้านสายธาร ตามชื่อของมารดาผู้ล่วงลับ
“คุณตุลย์ค่ะ...ท่านจะเรียนสายด้วยค่ะ” แม่บ้านคนสนิทเอ่ยหลังจากรีบวิ่งถือโทรศัพท์บ้านแบบไร้สายมาส่งให้ชายหนุ่ม
“ท่านไหนล่ะ...บ้านนี้มีผมเป็นเจ้าของ แล้วผมก็ไม่มีเจ้านายด้วย” ชายหนุ่มตอบเสียงหงุดหงิด คิ้วเข้มขมวดชนกัน
“โถ่คุณตุลย์คะ...รับสายคุณพ่อเถอะค่ะ ท่านคงมีธุระจริงๆ” เขาถอนหายใจ แล้วรับโทรศัพท์จากแม่บ้านมาแนบข้างหู
“ครับ” ตุลย์วัฒน์ขานรับสั้นๆ
“นี่แกยังเห็นฉันเป็นพ่ออยู่ไหม๊เจ้าตุลย์...ฉันสั่งให้แกไปดูแล ดำรงค์ธานี ไม่ได้สั่งให้แกไปส่งส้มบ้าๆนั่น” คนโทรมากรอกเสียงใส่โทรศัพท์อย่างกราดเกรี้ยว เพราะลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ทำงานไม่ได้ดั่งที่ตั้งความหวังไว้
“ผมบอกพ่อแล้วไง...ว่าผมไม่อยากไปทำงานที่ โรงแรมนั่น” ตุลย์วัฒน์ใส่อารมณ์ในน้ำเสียงเช่นกัน
“ถ้าแกไม่ทำแล้วใครจะทำฮะ...อย่าลืมว่าแกก็เป็นผู้บริหารคนหนึ่ง...รับปากแม่แกไว้แล้วจะทำให้ผิดหวังเหรอเจ้าตุลย์”
“พ่อครับ...ผมไม่ได้อยากทำให้ใครผิดหวัง...ก็ได้ ก็ได้ ผมจะทำตามที่พ่อต้องการ”
“อืม ให้มันได้อย่างนี้สิ ต้องให้ฉันโมโหซะก่อน แกถึงจะยอมนะไอ้ลูกชาย” คนเป็นพ่ออารมณ์เย็นลงแล้ว
“แล้วพ่อจะบอกผมได้หรือยังครับ...ว่าทำไมพ่อถึงจะวางมือจากกิจการโรงแรม”
“เอาน่า ถึงเวลา ฉันจะบอกแกเอง...แค่นี้ก่อนนะฉันมีธุระต้องสะสาง” พูดจบปลายสายก็ถูกตัดลง เหลือแต่เสียงถอนหายใจยาวๆ ของตุลย์วัฒน์
เมื่อผู้เป็นพ่อเอ่ยปากให้เขาไปดูแลกิจการโรงแรมดำรงค์ธานีอย่างเต็มตัว เขาจึงจำใจต้องทำหน้าที่นี้ ถ้าเป็นแต่ก่อนมันอาจจะไม่ตกมาถึงเขาก็ได้ เพราะตรีเทพพี่ชายที่เสียไปเก่ง คล่องแคล่วกว่าเป็นไหนๆ แถมยังเป็นลูกรักของพ่อเสียอีก
หลังจากวางสายสนทนาแล้วเตวิช ซึ่งตอนนี้ตั้งใจจะวางมือจากธุรกิจต่างๆ ให้ลูกชายเป็นผู้ดูแลก็ยังกังวลใจไม่น้อย เพราะความไม่เอาไหนของตุลย์วัฒน์ ทำให้เขาต้องหาวิธีการประคับประคองลูกชายให้บริหารกิจการไปได้โดยดี
“คุยกับใครเหรอค่ะคุณวิช” เสียงออดอ้อนหวานๆ ของหญิงสาวที่นอนอยู่แนบกาย เธอเพิ่งลืมตาจากการหลับใหลเพราะความเพลียในกิจกรรมช่วงบ่ายที่ผ่านมา
“ไม่มีอะไรหรอกคุณภัส...ผมโทรสั่งงานลูกน้องนิดหน่อย” หนุ่มใหญ่โน้มตัวลงแนบกายสาวที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นยัวยวนอารมณ์เพศยิ่งนัก มือหนาๆลูบไล้ต้นขาเรียว จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียใบหน้าเนียนและลำคอ
“อีกแล้วเหรอคะ...เมื่อกี้นี่ยังไม่จุใจอีกหรือไง” เสียงกระเซ้าเย้ายวนอยู่ข้างหูของหญิงสาว ทำให้ผู้รับฟังถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ริมฝีปากหนาขบใบหูเล็กเบาๆ
“จะกี่รอบ ถ้าเป็นคุณภัส ผมก็ไหวน่า” พูดจบปากหนาสีคล้ำก็ประกบริมฝีปากเรียวแดงอย่างดูดดื่ม ปลายลิ้นสากตวัดหาปลายลิ้นเล็กนุ่มอย่างรู้งาน ความหวานแทรกซึมเข้าผ่านลำคอชาย
“อืม...อ้า อืม” เสียงครางในลำคอของทั้งสองผสานกันเป็นอย่างดี มือข้างหนึ่งเคล้าคลึงเนินเนื้อสาว แรงบีบเคล้นทำให้มันชูชันท้าทายชายตรงหน้า ริมฝีปากของชายวัยเกษียณเลื่อนลงลิ้มรสทับทิมเม็ดสีคล้ำทั้งสองข้างสลับไปมา
“อือ...อ๊ะ...คุณวิช เบาหน่อยสิคะ...ภัสช้ำไปทั้งตัวแล้วนะ” ภัสสรร้องเตือนแต่ร่างกายก็ยังแอ่นรับริมฝีปากไม่ขาดตอน
“นิดหน่อยนะที่รัก...เห็นร่างกายคุณที่ไร ผมอดใจไม่ไหวทุกที” เตวิชจัดท่านอนของหญิงสาวเสียใหม่ ตอนนี้เธอเป็นฝ่ายค่อมอยู่บนร่างกายเขา ภัสสรรู้หน้าที่ของตนเองจึงคว้าอาวุธคู่กายชายชาตรีที่เวลานี้แข็งกล้า สอดแทรกผ่านกลีบบัวที่กำลังปริมน้ำของเธอ พร้อมขยับสะโพกรับจังหวะที่เตวิชส่งมา มือทั้งสองของฝ่ายชายยังคงลูบขย้ำหน้าอกขนาดใหญ่ที่เต็งตึง
“ที่รัก...คุณเก่งที่สุดเลย” เสียงคลอของเตวิช ช่วยให้หญิงเจ้าลีลา เร่งจังหวะการโยกขึ้นอีก
“อ๊ะ...อู้” ร่างกายทั้งสองกระตุกพร้อมกันเป็นอันบรรลุถึงสรวงสวรรค์ ร่างเล็กโน้มลงทับร่างใหญ่ที่มีรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา แต่ท่วงท่าและลีลาไม่ได้ลดลงเลย ทั้งรูปร่าง หน้าตา ลีลาของภัสสรจัดว่ามืออาชีพยังอาย ท่าทางเย้ายวน ให้หลงใหล วาจาที่ออดอ้อนจนคนฟังต้องใจอ่อน ทำให้เตวิชหวงแหนเธอเป็นอย่างมาก และตั้งใจจะเลี้ยงดูเธอในฐานะภรรยา
