ตอนที่ 6
พร้าวกล่าวถึงท่านผู้เป็นบิดาของอัคคีด้วยน้ำเสียงชื่นชมและเทิดทูนบูชายิ่งนัก ก่อนจะมองนายหนุ่มของตนด้วยความรู้สึกมิได้แตกต่างกันและดูจะพอใจในวิถีที่นายอัคคีเลือกเสียนักหนา เพราะลูกไม้ใต้ต้นอย่างอัคคีสามารถสานต่อการงานของนายท่านได้เป็นอย่างดี รวมทั้งลูกล่อลูกชนในการค้านายอัคคีนี้ไม่เป็นรองใคร เพราะเท่าที่ดั้นด้นเดินทางมาจนถึงแผ่นดินทองนี้ ก็พอจะคาดเดาได้ว่าสินค้าที่นายหนุ่มของตนจะนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าชาวจีน ชาวญี่ปุ่น ชาวชวา ชาวมลายู และชาวนครศรีธรรมราช หรือแม้จะเป็นเพียงพ่อค้าเร่ที่เพียงผ่านมาซื้อหาน้ำจืดก็คงไม่พ้นเป็น “เครื่องสังคโลก” อันลือเลื่องแห่งเมืองสุโขทัยอย่างแน่นอน
“พูดดีไปพร้าว อยู่เฝ้ากองเกวียนนะเจ้า มาถึงถิ่นใดก็จักต้องให้เกียรติท่านเจ้าของถิ่นฉันนั้น เพราะไม่มีใครรู้ดีในสิ่งที่ต้องการมากไปกว่าชาวเจ้าของถิ่นนั้นอีกแล้ว เอ้า! พวกเจ้าทั้งหลาย หากจักลงมายืดเส้นยืดสายก็ตามแต่สมควรเถิด ข้าวปลาอาหารหากขาดเหลือก็จับจ่ายซื้อหาได้เพิ่ม เบี้ยอยู่ที่พร้าวแล้ว พร้าวจัดหาที่พักแรมให้ด้วย”
อัคคีร้องสั่งกองเกวียนอีก 6 เล่มที่ค่อยๆ ทยอยเข้ามาจอดต่อๆ กัน ก่อนจะสั่งความพร้าวอีกครั้งแล้วจึงผละเดินตรงเข้าไปในตลาดปสาน ตลาดที่จูงใจให้เขาต้องดั้นด้นมาให้ถึง สายตาคาดคะเนผู้คนมากมายที่เห็นทำให้รู้ว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เขาจะมาเยือนเมืองสุโขทัยอย่างแน่นอน
“เจ้ามาแต่เมืองใดเล่า”
ชายวัยกลางคนมวยผมไว้เหนือศีรษะและมีผ้าโผกทับอีกชั้น สวมเสื้อแขนยาวผ่าอก นุ่งโจงเหนือเข่าดูเรียบร้อยผิดกับไพร่ฟ้าหน้าใสและเหล่าข้าไทที่มิได้ใช้ผ้าไหมตัดเย็บ ทว่ากลับเป็นผ้าฝ้ายและสีสันก็มิได้สดเท่า น้ำเสียงเอ่ยทักชายหนุ่มผู้มาเยือนด้วยยิ้มแย้มไมตรีจิต ด้วยมองเห็นแต่ไกลว่าชายหนุ่มนี้มาพร้อมกับกองเกวียนสินค้าที่เพิ่งมาถึง อีกทั้งเครื่องแต่งกายที่แม้จะดูคล้ายคลึงกันทว่าเนื้อผ้าตัดเย็บที่แปลกแตกต่างไปจากผ้าประจำถิ่น คือ ผ้าไหมและผ้าฝ้าย อีกทั้งทรงผมที่ตัดสั้นละท้ายทอยก็ช่วยส่งขับให้ชายหนุ่มผู้นี้ดูโดดเด่นกว่าพ่อค้าเร่คนใดที่เข้ามา ณ ปสานแห่งนี้
อัคคีพนมมือทำความเคารพผู้ที่ดูทีคงเป็นผู้ใหญ่ ณ สถานที่แห่งนี้ ก่อนจะตอบคำถามด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อม
“เมืองเพชรบุรีขอรับพี่ท่าน”
“อ้อ.. เมืองเพชรบุรี ข้าเคยได้ยิน แล้วเคยมาสุโขทัยนี้มาก่อนรึไม่”
“เป็นคราแรกพี่ท่าน ข้าได้ยินคำเล่าลือถึงปสานแห่งนี้ทำให้ข้าตั้งใจเดินทางมาให้ถึง”
“สินค้าของเจ้าคือสิ่งใด ข้าจะได้นำทางได้ถูก” พูดพลางชะเง้อมองไปยังกองเกวียนที่จอดพัก
“ข้านำผ้าแพรพรรณชั้นดีมาจากเมืองจีน มีทั้ง ผ้าแพร ผ้าไหม ผ้าต่วน และยังมีผ้าเบงจตีจากอินเดียด้วยนะขอรับ”
“มีแต่ผ้ารึ อย่างอื่นมีไหม เห็นมากันตั้ง 7 เล่มเกวียน”
“มีจำพวกพัดจำพวกฉากที่มาจากญี่ปุ่นและก็มีน้ำตาลตโนดมากพอจักใช้แลกข้าวปลาอาหารได้น่ะขอรับ แต่โดยส่วนมากจะเป็นผ้า ขอพี่ท่านโปรดชี้นำทางให้แก่ข้าด้วยเถิด”
ความอ่อนน้อมของผู้มาเยือนได้รับการตอบรับด้วยน้ำใจไมตรีที่หยิบยื่นให้อย่างเป็นมิตร สมแล้วกับคำที่ว่า “ไพร่ฟ้าหน้าใส” แลสินค้าในปสานที่ท่านผู้ใหญ่กว่าชี้ชวนให้ดูชมก็สมกับคำว่า “สุโขทัยนี้ดีในน้ำมีปลาในนามีข้าว” จริงๆ เพราะข้าวของที่นำมาแลกเปลี่ยนในตลาดปสานนั้น นอกจากสินค้าผ้าแพรพรรณนั้นแล้วยังมากมีไปด้วยอาหารต่างๆ มากมาย ทั้งปลาตัวโตที่ถูกร้อยเหงือกไว้ด้วยตอกเป็นพวง พืชผักนานา ไก่ตัวอ้วน หมากพลู น้ำผึ้งของป่าและข้าวของที่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันได้ตามแต่ใครใคร่จะพอใจแลกหา และหากมีผู้ใดต้องการสินค้าที่นำมาแต่ผู้ขายไม่ต้องการสินค้านั้นๆ แลกเปลี่ยน ผู้ซื้อก็จำต้องใช้เบี้ยแลกซึ่งก็ได้รับความพอใจทั้งสองฝ่ายด้วยกัน
“นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว คืนนี้ชาวเจ้าทั้งหลายจงพักค้างเสียที่นี่ก่อนเถิด เมื่อรุ่งสางจึงค่อยทยอยนำสินค้าของเจ้าไว้ ณ ด้านโน้น วันพรุ่งพ่อบ้านสิงขรและธิดาของท่านทั้งสองนางจะมาที่ปสานแห่งนี้ ผ้าแพรพรรณชั้นดีของเจ้าคงถูกใจพวกนางเป็นแน่แท้”
ผู้ใหญ่กว่ากล่าวกับอัคคีหลังจากได้ตรวจดูสินค้าจากเกวียนเล่มแรก และจัดจองสถานที่สำหรับกองเกวียนจะนำสินค้าเข้าแลกเปลี่ยนในวันรุ่งขึ้น
“พ่อบ้านสิงขรรึขอรับ”
“ใช่.. ท่านดูแลชาวเราตามโองการแห่งพ่อขุน เจ้าตะวันและเจ้าจันทร์ธิดาทั้งสองของท่านนั้นก็งดงามด้วยมิตรไมตรีแก่ชาวเราทั้งหลาย วันพรุ่งชาวเจ้าคงได้พบเอง”
“เจ้าตะวัน.. เจ้าจันทร์…”
ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดแนบซบอยู่กับปากแจกันทะลึ่งตัวขึ้นจนสุด ดวงตาฝ้าขาวดูราวจะถลนออกมานอกเบ้าเพราะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ความสั่นไหวรับรู้ได้ในความรู้สึก น้ำตาสีแดงดั่งโลหิตไหลอาบสองแก้มซีดขาวที่ราวกับจะมีรอยไหม้ปรากฏขึ้นทีละน้อยๆ ก่อนเรือนร่างบอบบางนั้นจะทรุดลงแทบพื้นทรายและกรีดร้องรับกับท้องทะเลคลั่งที่เริ่มปั่นป่วนด้วยแรงอารมณ์ของนาง
กรี๊ดดดดดด...
