๙.๑ จูบนี้พี่ขอมัดจำไว้
“ลูกขอกราบลาท่านพ่อครับ”
หม่อมราชวงศ์รพี ตุลยาธร กราบลงบนตักของหม่อมเจ้าตะวันฉาย
“ขอให้เดินทางปลอดภัย ตั้งใจทำงานสนองพระเดชพระคุณพระองค์ท่าน วังตุลยาธรจะรอวันที่ลูกกลับมา”
“ท่านพ่ออยู่ทางนี้ดูแลองค์เองให้ดีนะครับ อย่าดื้อกับหม่อมนัก”
หม่อมเจ้าตะวันฉายแย้มสรวล “สั่งราวกับพ่อเป็นเด็ก หรือว่าชายพีติดมาจากการดุน้องกัน” แล้วท่านก็มองหาคนที่มักจะโดนบุตรชายดุอยู่เป็นประจำ “วันนี้น้องไม่อยู่ส่งลูกรึ”
“ไปโรงเรียนน่ะครับ อีกอย่างลูกก็เกรงจะมาขี้แยใส่ ทีนี้ลูกก็จะห่วงหน้าพะวงหลัง”
“น้องคงเหงาน่าดูเชียวละ”
“ฝากท่านพ่อด้วยนะครับ”
รพีสบดวงตาที่หรี่แสงลงของผู้เป็นพ่ออย่างมีนัย เขาปรารถนาจะฝากยอดดวงใจให้ผู้เป็นพ่อช่วยดูแล
หม่อมเจ้าตะวันฉายตบไหล่บุตรชาย มุมโอษฐ์ยังคงแย้มอย่างเข้าใจความหมาย “พ่อจะเฝ้าไว้ให้ แต่ชายพีต้องรีบกลับมาล่ะ พ่อแก่แล้วคงอยู่เฝ้าให้ได้อีกไม่นาน”
“อย่าตรัสเล่นเช่นนั้นสิครับ ท่านพ่อยังแข็งแรงนัก อีกสี่ปีเท่านั้นลูกจะกลับมาดูแลทั้งท่านพ่อและทุกคนในวังตุลยาธร”
“วังตุลยาธรรอวันที่ลูกกลับนะชายพี ขอให้ลูกโชคดีมีชัย”
หลังร่ำลาและฝากฝังหม่อมทั้งสองและน้อง ๆ คุณชายรพีก็ขึ้นรถออกจากวังโดยมีอินทร์เป็นพลขับ ราชนิกุลหนุ่มเหลียวมองวังตุลยาธรระหว่างที่รถยนต์กำลังเคลื่อนตัวออกห่างมาเรื่อย ๆ จนวังหลังใหญ่ลับสายตา ก่อนจะหันกลับมามองไปข้างหน้า
แต่รถยนต์คันใหญ่แล่นมาได้ไม่ไกลจากวังนัก ก็เริ่มมีบางอย่างผิดปกติ
“มีอะไรหรือนายอินทร์”
“กระผมคิดว่ารถน่าจะมีปัญหาขอรับคุณชาย”
อินทร์ค่อย ๆ หักพวงมาลัยเข้าข้างทาง แล้วรีบลงไปสำรวจดูรอบคันก็พบว่ายางหลังทั้งสองข้างลมอ่อนจนแทบจะเรียกได้ว่าแบนแต๊ดแต๋จนคิดว่าไม่สามารถขับต่อไปได้ เขาจึงรีบมารายงานเจ้านาย
“ยางหลังรั่วทั้งสองข้างขอรับคุณชายพี”
หม่อมราชวงศ์รพียกข้อมือขึ้นมาดูเวลา เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกมากเพราะเขาเผื่อเวลาเอาไว้ จึงสั่งคนขับรถอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไร เราออกมาไม่ไกลจากวังมากนัก นายอินทร์กลับไปที่วัง เอารถอีกคันมาเปลี่ยน ให้คนที่วังมาเปลี่ยนยางรถคันนี้ด้วยล่ะ”
“ขอรับคุณชาย”
เมื่อนายอินทร์เดินย้อนกลับไป คุณชายรพีก็เดินลงมาจากรถ เขายอบตัวลงนั่งมองยางรถยนต์อย่างสงสัยว่ามันรั่วได้อย่างไรในเมื่อคนในวังตุลยาธรดูแลรถยนต์ทุกคันอย่างดีไม่เคยพบปัญหา แล้วมันจำเพาะมารั่วเอาวันนี้พร้อมกันทั้งสองข้าง เขาสำรวจไม่นานก็พบตะปูฝังอยู่ในยาง เป็นการฝังอย่างจงใจให้ลมยางค่อย ๆ ซึมออกมาเสียด้วย
ราชนิกุลหนุ่มกระตุกมุมปาก ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง เขากวาดตามองไปรอบบริเวณที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ไร้บ้านเรือนและผู้คนที่สัญจรไปมาเพราะยังเป็นอาณาบริเวณของวังตุลยาธร
“ออกมาเดี๋ยวนี้”
คุณชายรพีสั่งเสียงเข้มเมื่อสังเกตเห็นกิ่งไม้ไหวบริเวณริมบึง แต่ใครบางคนที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ก็ยังไม่ยอมแสดงตัว รพีจึงค่อย ๆ สืบเท้าเข้าไปใกล้
“หากไม่ยอมเผยตัวฉันจะจับส่งทางการ ข้อหาปองร้ายหม่อมราชวงศ์รพี ตุลยาธร ด้วยการลอบเจาะยางรถยนต์”
ขู่ขนาดนั้นคนคนนั้นก็ยังไม่ยอมออกมาให้เห็น แต่แสดงการมีตัวตนอยู่ด้วยการปัดกิ่งไม้จนมันไหวยวบ
“แล้วก็จะแจ้งฝ่ายปกครองของโรงเรียนด้วยว่ามีเด็กเกเรหนีเรียน”
หลังพูดประโยคนั้นจบรพีก็เดินมาถึงต้นไม้ใหญ่พอดี ราชนิกุลหนุ่มยื่นลำตัวช่วงบนไปยังหลังต้นไม้เพื่อมองหาตัวต้นเหตุที่ทำให้การเดินทางของเขาหยุดชะงัก แล้วดวงตาคู่คมก็เจิดจ้าทอแสงพราวระยับเพราะใบหน้าของคนที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นเป็นคนที่เขาคิดจริง ๆ แถมยังยืนทำหน้างอง้ำ เหตุเพราะโดนเขาขู่จะจับส่งทางการและแจ้งฝ่ายปกครองของโรงเรียน
คนหนีเรียนมาสะบัดหน้าอย่างแสนงอน แต่ไม่ทันจะก้าวเท้าหนีไปก็ถูกคุณชายรพีรวบตัวเอาไว้ได้ก่อน ร่างเล็กลอยหวือเข้าสู่อกกว้างทันที และถูกกกกอดไว้ทางด้านหลังพร้อมกับคำกระซิบข้างหู
“เสี่ยว ฉ่า กวา” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาพร้อมกับลมหายใจอุ่นที่เป่ารด ปลายจมูกโด่งกดลงมาบนผิวแก้มใสอย่างอดใจไม่ไหว อุตส่าห์ตัดใจสั่งให้ไปโรงเรียน เขาจะได้ไม่ละล้าละลังอาลัยอาวรณ์ แต่พระพายก็ยังมาดักรออยู่ตรงนี้อีกจนได้ แล้วจะให้เขาห้ามใจไหวได้อย่างไรกัน
เด็กโง่ที่โดดเรียนและลงทุนเจาะยางรถยนต์เพื่อที่จะได้มีโอกาสร่ำลากันอีกครั้งหมุนตัวกลับมาหา โถมตัวเข้าใส่ร่างใหญ่กว่าอย่างรวดเร็ว วาดสองแขนโอบกอดรอบลำคอแกร่งแล้วซบใบหน้าลงบนบ่า
“น้องยอมเป็นเด็กโง่ ขอแค่ได้กอดพี่ชายพีอีกครั้ง” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเครือสั่น ร่างบางเบียดบดเข้าหาหวังซึมซับไออุ่นให้ตราตรึงเก็บไว้ยามคิดถึงคนที่จะจากกันไกล
“เด็กโง่”
คุณชายรพีรำพันเสียงเบา แม้ต่อว่าแต่ลำแขนแกร่งก็รัดร่างบางไว้แนบแน่นไม่ต่างกัน ห่วงหาเหลือคณาไม่อยากจากลาแต่จำต้องไป
“ไม่ไปไม่ได้หรือครับ”
แม้จะเป็นคำถามสิ้นคิดสิ้นดีแต่พระพายก็เอ่ยมันออกมา เผื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์ให้มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง เคยได้ยินมาว่าที่นั่นน่ากลัวและห่างไกล หากพี่ชายพีเป็นอะไรไปแล้วไม่กลับมา พระพายจะอยู่ได้อย่างไร คนคิดสะระตะน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อมันไหลซึมสู่บ่าของคนพี่ รพีจึงผละกายออกมาหา
ก้านนิ้วยาวเลื่อนมาเช็ดน้ำตาให้ ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะประทับลงมาบนเปลือกตาคู่ช้ำที่ผ่านการร้องไห้มาแล้วทั้งคืน
“ไหนสัญญากับพี่ว่าจะเข้มแข็งเป็นที่พึ่งให้คุณอาสร้อยฟ้า แล้วไยมาร้องไห้งอแงเช่นนี้เล่า”
“น้องไม่อยากให้พี่ชายพีไป”
“จะอย่างไรพี่ก็ต้องไปทำตามหน้าที่ตอบแทนคุณแผ่นดิน อย่าทำให้พี่เป็นห่วงได้ไหม เห็นน้ำตาน้องนองหน้าแบบนี้พี่จะตัดใจจากไปได้อย่างไรเล่า” รพีตัดพ้อ พลางก็เช็ดน้ำตาให้อีก
แต่พระพายก็ไม่สามารถกลั้นมันเอาไว้ได้ เขาไม่อยากให้คนพี่ไม่สบายใจจึงซบใบหน้ากับบ่ากว้างอีกครั้ง ซุกซบใบหน้าไม่ให้พี่เห็นน้ำตาอีก
แต่กระนั้นเสียงสะอื้นก็ยังเล็ดลอดออกมาให้รพีต้องปลอบประโลมด้วยสองแขนแกร่ง เขาพาร่างเล็กโยกเบา ๆ ราวกับขับกล่อมหลอกล่อให้เด็กน้อยเสียขวัญหยุดคร่ำครวญเสียใจ
“พี่ไปไม่นานก็กลับมา พี่สัญญาจะเขียนจดหมายมาหา ต่อให้ยุ่งยากหรือลำบากแค่ไหนก็จะไม่ขาดหายไร้การติดต่อ”
“น้องก็สัญญาว่าจะเขียนจดหมายรายงานความประพฤติให้พี่ชายพีทราบทุกเดือนเช่นกัน สัญญานะครับว่าจะเปิดมันอ่านทุกฉบับ น้องจะฝากทุกความรู้สึกไปกับจดหมายพวกนั้น”
รพีจับไหล่บางให้ผละร่างออกมา แล้วหลุบมองดวงหน้าเศร้าเคล้าหวานอย่างใคร่รู้
“ทุกความรู้สึกหรือ?”
“ครับ”
พระพายรับคำอย่างซื่อตรง หนุ่มน้อยไม่คิดหลอกหัวใจตัวเอง เขาโตพอที่จะเข้าใจความรู้สึกลึกซึ้งของมนุษย์ พี่ชายพีแสดงออกหลายครั้งหลายคราถึงความปรารถนาในหัวใจ ยามนี้ที่ได้สบดวงตาคู่คมเผยอารมณ์รักใคร่ที่ไม่ใช่แค่ผู้ปกครองกับเด็กในปกครอง พระพายเองก็อยากจะลองบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปให้พี่ชายพีได้รับรู้เช่นกัน
“น้องรัก…”
