๘ ความปรารถนาของสองหัวใจ
“เห็นทีคืนนี้ฝนคงตกไม่หยุด เช่นนั้นน้องก็นอนค้างกับพี่ที่นี่ก็แล้วกัน”
เสียงร้องครืน ๆ จากฟากฟ้าและสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดราวกับพระพิรุณลงทัณฑ์เป็นเหตุให้พระพายไม่สามารถกลับเรือนเล็กได้ คุณชายรพีจึงออกปากให้เด็กในปกครองนอนค้างเสียที่เรือนใหญ่ และจำเพาะเจาะจงให้นอนในห้องของตัวเองทั้ง ๆ ที่ยังมีห้องรับรองแขกเหลืออยู่ที่ชั้นล่าง
“รบกวนพี่ชายพีเปล่า ๆ หรือหากพี่ชายพีจะกรุณา น้องขอยืมร่มสักคันได้หรือไม่ครับ”
“ร่มหรือ? เอ พี่ไม่รู้ว่าเก็บไว้ที่ใด”
“เช่นนั้นน้องฝ่าฝนไปก็ได้ครับ”
“หากพี่ปล่อยให้น้องตากฝน คงโดนท่านพ่อลงโทษเป็นแน่”
“เช่นนั้นน้องขออาศัยนอนในห้องรับรองแขกที่ชั้นล่าง”
“ยังไม่ได้เก็บกวาด เห็นทีคงมีแต่ฝุ่น”
“เช่นนั้นน้องไปนอนที่ห้องทำงานของพี่ชายพีดีกว่า”
“จะนอนในห้องทำงานได้อย่างไร พื้นเย็นเฉียบเช่นนั้น”
“พี่ชายพีไม่มีหมอนหรือผ้าห่มสำรองเลยหรือครับ”
“หม่อมจอมขวัญให้คนเก็บไว้ที่ใดพี่ก็ไม่รู้”
“น้องขอหาดูในตู้ได้หรือไม่”
คนโตกว่าต้อนอย่างไร พระพายก็ไม่จนแต้มจนคุณชายรพีเองอ่อนใจ แค่การชวนน้องนอนบนเตียงเดียวกันมันดูเป็นเรื่องยากเย็นเสียเหลือเกิน
แต่เบื้องบนคงเห็นใจจึงบันดาลให้สายฟ้าฟาดลงมาเหนือวังตุลยาธร ท้องฟ้าสว่างวาบขึ้นอย่างฉับพลัน หลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาทีเสียงฟ้าร้องก็ดังกึกก้อง พระพายที่กำลังจะเดินผ่านหน้าคุณชายรพีไปยังตู้เก็บของอีกด้านของห้องนอนจึงสะดุ้ง ด้วยสัญชาตญาณจึงพาตัวเองไปยังที่ปลอดภัย และที่ปลอดภัยที่ใกล้ที่สุดก็หนีไม่พ้นอ้อมกอดของพี่ชายพี
สองแขนแกร่งอ้ารับร่างเล็กกว่าแล้วดึงเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว ฝ่ามืออุ่นลูบแผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบประโลม ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่ข้างขมับพร้อมกับคำปลอบโยนเสียงนุ่ม
“ชู่ว ไม่ต้องกลัว พี่อยู่นี่แล้ว”
แล้วตามด้วยข้อเสนอแสนอบอุ่นชวนให้ลุ่มหลงในประโยคถัดมา
“กลัวเสียงฟ้าเช่นนี้แล้วจะนอนคนเดียวได้อย่างไร นอนกับพี่เสียในห้องนี้เถิด พี่จะกอดปลอบทั้งคืน”
หม่อมหลวงพระพายไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะคำหวานที่กระซิบอยู่ข้างหูหรือเพราะอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของพี่ชายพีที่ล่อลวงให้เขานอนอยู่บนเตียงกว้างจนถึงรุ่งสาง
แสงแดดอุ่นเล็ดลอดเข้ามาในห้องบ่งบอกให้รู้ว่าท้องฟ้าข้างนอกยามนี้สว่างแจ้ง แรงลมและแรงฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาพัดพาเอาไอหนาวท้ายฤดูไปเสียสิ้น ทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นของฤดูร้อนที่กำลังจะมาเยือน
หรือเป็นเพราะไออุ่นจากอ้อมกอดของคนที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังที่ทำให้พระพายหลงเช่นเดียวกับฝนเมื่อคืน ต่างกันเพียงฝนนั้นหลงฤดู แต่พระพายหลงพี่ชายพีคนนี้เสียแล้ว
ร่างเล็กค่อย ๆ พลิกกายมาหา ช้อนสายตาขึ้นจับจ้องปลายคางสากที่เริ่มมีตอหนวดแทงขึ้นมา แล้วไล่ขึ้นไปยังริมฝีปากหยัก จมูกโด่งรับกับดวงตาเรียวแม้จะยังปิดสนิทพระพายก็จำได้ว่าภายใต้เปลือกตาคู่นั้นมันน่าหลงใหลขนาดไหน
“จ้องพี่ขนาดนี้ คิดอะไรอยู่หรือ?”
แต่คนที่พระพายคิดว่ายังหลับสนิทกลับขยับริมฝีปากถาม แล้วหลังจากนั้นเปลือกตาสวยก็ลืมขึ้นมา ดวงตาคมคู่ที่ซ่อนอยู่นั้นสว่างสดใสราวกับเจ้าของมันตื่นขึ้นมารับเช้าวันใหม่นานโขแล้ว
“พี่ชายพีตื่นนานแล้วหรือครับ?”
คนตัวเล็กกว่ารีบถามแก้เก้อที่เผลอแอบมองคนพี่อยู่ตั้งนานสองนาน แล้วยังทำท่าจะขยับหนี แต่ท่อนแขนแกร่งที่อุทิศเป็นหมอนให้นอนหนุนมาตลอดคืนออกแรงรวบตัวไว้เสียก่อน
“ตื่นสักพักแล้วละ”
“แล้วทำไมไม่ลุกล่ะครับ”
“ก็ใครบางคนนอนทับแขนพี่อยู่ พี่จะลุกได้อย่างไร”
“ปลุกน้องก็ได้นี่ครับ” แล้วพระพายก็ก้มหน้าทำปากขมุบขมิบ “ตั้งใจจะแกล้งกันมากกว่า”
“ไม่ได้แกล้ง แค่อยาก…” รพีอยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาปรารถนาที่จะได้กอดคนน้องทุกค่ำคืน แต่มันอาจจะเร็วเกินไปสำหรับพระพายที่อายุเพียงเท่านี้
คนตัวเล็กเงยใบหน้าขึ้นมาหา ดวงตาสีน้ำตาลไหวหวั่น รอฟังด้วยใจระทึก
“อยากอะไรหรือครับ?”
“อยาก… พี่แค่มีเรื่องอยากจะบอกน้อง” รพีรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะหากพระพายยังมองเขาด้วยสายตาคาดหวังแบบนั้น และยังเบียดร่างกายเข้าหาเขาอยู่แบบนี้ คุณชายรพีแห่งวังตุลยาธรคงตบะแตกแล้วทำเรื่องที่ส่วนลึกในหัวใจปรารถนา นั่นก็คือการดึงใบหน้าจิ้มลิ้มนี่เข้ามาจูบ!
“เรื่องที่พี่ต้องไปประจำที่สหภาพโซเวียต”
“ไปประจำที่สหภาพโซเวียต?”
ข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รับทำพระพายผุดลุกขึ้นมานั่งบนเตียงอย่างใจหาย พี่ชายพีกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเลขานุการโทของท่านทูต คนในวังตุลยาธรเพิ่งยินดีกันได้เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ที่รพีต้องไปประจำยังประเทศมหาอำนาจอันไกลโพ้นเป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครพูดถึง
“น้องไม่รู้มาก่อนเลยว่าการเลื่อนตำแหน่งของพี่ชายพีจะต้องไปประจำที่อื่นด้วย”
คุณชายรพีลุกขึ้นมานั่งประจันหน้าคนน้องแล้วบอกด้วยน้ำเสียงนุ่ม และสิ่งที่ราชนิกุลหนุ่มพูดออกมายังแสดงถึงการให้ความสำคัญกับคนฟังอย่างพระพายด้วย
“พี่บอกน้องเป็นคนที่สองรองจากท่านพ่อ”
แม้จะปลื้มใจที่คนพี่นึกถึงใจกัน แต่พระพายก็อดที่จะใจหายไม่ได้อยู่ดี
“ต้องไปเมื่อไรหรือครับ?”
“อีกสามสัปดาห์ข้างหน้า”
เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนั้นเล่า ดวงตาสีน้ำตาลมองคนพี่อย่างตัดพ้อ
“แล้วใครจะเป็นผู้ปกครองให้น้องเล่าครับ” ไม่จำเป็นต้องมีหรอก พระพายรู้ดีว่าตนเองโตพอที่จะดูแลตัวเองได้และพร้อมที่จะเป็นที่พึ่งให้มารดา แต่การมีพี่ชายพีอยู่ใกล้ ๆ ย่อมดีกว่า
รพียกมือขึ้นมากุมใบหน้าแสนเศร้ากระเง้ากระงอด เกลี่ยปลายนิ้วหัวแม่มือเบา ๆ กับแก้มนุ่ม
“พี่ก็ยังเป็นผู้ปกครองของน้องอยู่ พี่จะเขียนจดหมายมาหาทุกเดือน น้องต้องรายงานพี่ว่าพบเจออะไรบ้างในแต่ละวัน”
“หากน้องปด พี่ชายพีจะรู้หรือ?”
“หากน้องดื้อรั้นเกเรยามพี่ไม่อยู่ คนในวังตุลยาธรครึ่งร้อยคงฟ้องยามพี่กลับมา”
คุณชายรพีตีหน้าขรึมข่มเด็กดื้อที่ตั้งท่าจะสร้างเรื่องตั้งแต่ที่เขายังไม่ไปจนพระพายยู่ปาก ก่อนจะอ่อนท่าทีลงเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียรพีก็ต้องทำตามหน้าที่นักการทูต ต่อให้พระพายงอแงไม่ยอมให้ไป รพีก็ต้องไปอยู่ดี
“พี่ชายพีจะกลับมาเมื่อไร ต้องไปนานแค่ไหนหรือครับ?”
“สี่ปี”
“สี่ปีเชียวหรือ?”
“ถึงตอนนั้นน้องคงใกล้เรียนจบอุดมศึกษา” ดวงตาคู่คมทอดมองน้องน้อยอย่างวาดหวัง มองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเพื่อสื่อความในใจ “รอพี่ได้ไหมพระพาย”
รอพี่ อย่าเพิ่งหันเหไปทางไหน อย่าเพิ่งมีใจให้ใคร รอวันพี่กลับมา
หม่อมราชวงศ์รพี ตุลยาธร อยากจะตีตราจองคนน้องไว้เหลือคณา แต่เพราะน้องยังอ่อนวัยนัก มันอาจเป็นการรวบรัดเกินไป เขาอยากให้โอกาสพระพายได้เรียนรู้ความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้ แม้จะมั่นใจว่าน้องก็คิดไม่ต่างกัน
“ครับ” พระพายรับคำอย่างหนักแน่น
เมื่อพี่บอกให้รอ น้องก็จะรอ
เวลาสามสัปดาห์ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว แม้รู้อยู่แล้วว่ามันจะมาถึง แต่พระพายก็อดใจหายไม่ได้ และวันที่รพีต้องออกเดินทาง เขายังถูกห้ามไม่ให้ขาดเรียนด้วย”
“พรุ่งนี้พี่ไม่ได้ไปส่งที่โรงเรียน”
“น้องก็จะไม่ได้อยู่ส่งพี่ชายพี เช่นนั้นน้องหยุดเรียนสักวันหนึ่งได้หรือไม่ครับ”
“พี่ยังไม่ทันไปก็จะเกเรเสียแล้วหรือ?”
“เปล่าเกเรเสียหน่อย น้องแค่อยากอยู่ส่งพี่ชายพี”
“ต่อให้อยู่ก็ส่งกันได้แต่ในวังเท่านั้น พี่ไม่ต้องการให้ยุ่งยากกัน แม้แต่ท่านพ่อก็ไม่ได้ไป”
พระพายหน้าเศร้าทันทีที่ถูกสั่งห้าม ระหว่างที่ช่วยพี่ชายพีจัดกระเป๋าก็เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จาอีก จนคุณชายรพีต้องจับร่างเล็กกว่ามาประจันหน้า แขนข้างหนึ่งอ้อมไปรวบเอวคนน้องไว้ ส่วนมืออีกข้างเชยคางเรียวขึ้นมาสบตากัน
ทันทีที่ได้สบตาคนที่กำลังจะจากกันไกล น้ำตาของพระพายก็หยดลงมาบนฝ่ามือคนพี่ จนรพีอดไม่ได้ที่จะดึงร่างเล็กเข้ามากอด
สองร่างตระกองกอดแนบชิดโดยไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก แต่สองหัวใจต่างรู้ดีว่าจะรอกันและกัน พระพายยกสองแขนขึ้นโอบรัดเอวสอบ แนบใบหน้าแสนเศร้ากับแผงอกกว้าง ทอดสายตามองสองร่างผ่านกระจกเงากรอบไม้สลักลวดลายแสนวิจิตร ภาพที่สะท้อนกลับมาราวกับภาพฝัน ใจปรารถนาให้พวกเขาครองคู่กันเช่นภาพนั้นตลอดไป
