๗.๒ ข้อกล่าวหา
หลังสืบสวนหาความและคุณหญิงแต้วก็เป็นพยานอย่างไม่ลำเอียง คุณชายรพีจึงตัดสินว่าพระพายกับคุณหญิงต่ายผิดด้วยกันทั้งคู่ พี่ชายใหญ่แห่งวังตุลยาธรจึงลงโทษน้องทั้งสอง
“คัดอักษรจีนคนละห้าร้อยคำ”
“ห้าร้อยคำ!”
หม่อมราชวงศ์ศศิธรบ่นอุบ กระเง้ากระงอดพี่ชายที่ไม่ยอมเข้าข้าง แล้วก็ค้อนพี่สาวที่ให้การเถรตรงเสียจนตนเองถูกลงโทษ แต่กระนั้นก็ยอมรับโทษจากพี่ชายแต่โดยดี เพราะไม่มีใครในวังตุลยาธรแห่งนี้ขัดคำสั่งของคุณชายรพีได้
คุณหญิงต่ายหอบสมุดพร้อมหนังสือเรียนภาษาจีนเข้าไปคัดในห้องนอนของตัวเอง ในขณะที่พระพายเดินก้มหน้าออกมาจากเรือนใหญ่ ไปนั่งสงบสติอารมณ์ในศาลาไม้แปดเหลี่ยมสีขาว ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่นอย่างพยายามที่จะสะกดกลั้นอารมณ์ขุ่นมัว ใช่ว่าไม่พอใจการตัดสินของคุณชายรพี แต่หงุดหงิดหัวใจที่คุณหญิงต่ายใส่ร้ายมารดา อีกทั้งยังกล่าวหาว่าบิดาเป็นคนขี้โกง
ที่ว่าเขาเป็นกาฝากแม้มันจะไม่เป็นความจริงแต่พระพายก็ไม่ได้คิดถือสามากไปกว่าเรื่องที่คุณหญิงต่ายกล่าวหาบิดามารดา พระพายไม่ได้อยากจะมาเบียดเบียนตุลยาธรเลยสักนิด แต่เพราะเป็นรับสั่งของท่านชายที่ห้ามเขากับสร้อยฟ้าออกไปอยู่ข้างนอกกันตามลำพัง อีกทั้งเขากับมารดาก็ไม่ได้ขอเงินตุลยาธรใช้เลยสักแดงเดียวแม้ว่าท่านชายจะประทานให้ เขากับแม่ก็เอาไปคืนทุกครั้ง แถมยังทำงานตอบแทนค่าข้าวค่าน้ำค่าที่ซุกหัวนอนอยู่ทุกวัน เขากับมารดาสำนึกในบุญคุณของตุลยาธรอยู่ในอก แต่ก็ใช่ว่าคุณหญิงต่ายจะมากดขี่ชี้หน้าด่าทอกันได้ตามใจเมื่อไรกัน
ปลายดินสอถูกกดลงบนกระดาษจนมันแทบจะทะลุไปอีกด้าน ฝนแล้วฝนอีกจนเส้นหนาทึบเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ ข้างเล็บนิ้วชี้จิกลงบนผิวเนื้อนิ้วกลาง เกิดรอยช้ำและความเจ็บปวดบนนิ้วข้างนั้น แต่ก็เทียบไม่ได้กับความเจ็บใจ
สมุดเล่มหนาถูกปิดลงเมื่อตัวอักษรถูกคัดครบจำนวนที่คุณชายรพีสั่ง แต่ร่างน้อยยังนั่งทอดอารมณ์อยู่ในศาลาแปดเหลี่ยม ลมที่โชยเข้ามาทำให้หัวใจดวงน้อยค่อย ๆ เย็นลง แต่มันก็ยังไม่เป็นปกติและดูเหมือนจะเต้นแรงขึ้นมาอีกเมื่อคุณชายรพีก้าวเข้ามา
นัยน์ตาคู่เศร้าเหลือบมองใบหน้าคมแล้วก็เบือนหน้าหนี ไม่ได้น้อยใจแต่แค่ยังไม่อยากเห็นหน้าเพราะรู้ตัวว่าตัวเองอาจจะพาลใส่คนพี่
แต่คุณชายรพีเดินเข้ามานั่งใกล้ ๆ ในมือของเขามีตลับยาทาแผลฟกช้ำ เพราะรู้ดีว่าวิธีจับดินสอของคนน้องจะทำให้นิ้วเป็นรอย ยิ่งต้องคัดถึงห้าร้อยคำในขณะที่อารมณ์กำลังขุ่นมัวด้วยแล้วละก็…
ดวงตาคู่คมทอดมองรอยแผลบนนิ้วน้อยที่ดูจะรุนแรงกว่าที่เขาคาดไว้ จึงช้อนตาขึ้นมามองใบหน้าด้านข้างของเจ้าของมันแล้วส่ายหน้าเบา ๆ พลางก็เปิดตลับยาคว้านออกมาป้ายทาให้อย่างเบามือ
พอพระพายรู้สึกถึงความเย็นจากเนื้อยาและสัมผัสนุ่มนวลจากปลายนิ้วแกร่งก็ค่อย ๆ หันใบหน้ากลับมาทอดสายตามองการกระทำนั้นด้วยหัวใจที่เต้นหนักกว่าเดิม
ความเงียบเข้าครอบคลุมไปทั้งศาลาแปดเหลี่ยม มีเพียงเสียงใบไม้ที่เคลื่อนไหวเพราะแรงลมเท่านั้น ดอกปีบดอกหนึ่งปลิวเข้ามาตกกระทบลงบนหลังมือของรพี เขาจึงหยิบมันไปทัดหูให้พระพายอย่างหน้าตาเฉย
“อะ อะไรครับ”
“ดอกปีบ”
รู้อยู่หรอกว่าดอกปีบ แต่คนพี่จะเอามาทัดหูเขาทำไมเล่า
“สวยดี”
คำชมมาพร้อมกับสายตาคมที่จับจ้องใบหน้าแดงเรื่อ พระพายอยากจะถามกลับไปเหลือเกินว่าสิ่งใดเป็นเจ้าของคำชมนั้นกันแน่ ดอกปีบหรือว่า…
“พี่ชอบดอกปีบ…”
คงเป็นดอกปีบสินะที่มันสวยในสายตาของพี่ชายพี
“… ยามที่มันทัดอยู่บนใบหูของน้อง”
“…”
หลายวันมานี้พี่ชายพีพูดจาแปลก ๆ แต่มันก็ทำให้ใบหน้าของพระพายแดงเรื่อได้ทุกครั้งเพราะสายตาคู่นั้นยามทอดมองมาสื่อสารไปถึงหัวใจว่ามันมีความหมายบางอย่างแฝงอยู่ เพียงแต่พระพายไม่รู้แน่ว่ามันคืออะไร
“พี่ชายพีหมายความว่าอย่างไรครับ”
น้องน้อยยังไม่ทันได้คำตอบ พลันก็มีกระแสลมห่าใหญ่พัดเข้ามา พาเอาดอกปีบมากมายกระจายอยู่เต็มศาลา เมฆคล้ำลอยต่ำบ่งบอกให้รู้ว่าฝนหลงฤดูกำลังจะตกลงมาอีกครั้งในวันที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ฤดูร้อน
“ฝนจะตกแล้ว รีบไปกันเถิด” คุณชายรพีละสายตาจากดวงตาคู่หวานช่างสงสัย เขารวบสมุดหนังสือและอุปกรณ์ขีดเขียนมาถือไว้ แล้วจูงมือพระพายออกมาจากศาลา
“ฝนจะตก เช่นนั้นน้องขอกลับเรือนเลยได้หรือไม่ครับพี่ชายพี” น้องน้อยรั้งมือพี่แล้วถามอย่างไร้เดียงสา ด้วยเลยเวลาอาหารค่ำมาครู่ใหญ่แล้ว แม้เข้าสู่ช่วงเวลาที่ต้องช่วยงานเอกสารของคุณชายรพีเช่นทุกวัน แต่เพราะเห็นท่าว่าฝนจะตกหนัก บางทีพี่อาจอยากให้เขากลับเรือนเลย
“จากที่นี่ไปถึงเรือนเล็ก น้องคงไม่ทันฝน กลับไปที่เรือนใหญ่จะใกล้กว่า”
ฝ่ามือหนากระชับข้อมือเล็กกว่าแล้วพาเดินเร็ว ๆ ไปยังจุดหมาย พระพายได้แต่มองแผ่นหลังกว้างอย่างสงสัย…
แล้วหากฝนตกหนักไม่หยุดแล้วเขาจะกลับเรือนอย่างไรเล่า
