๔.๒ ฝนหลงฤดู
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ไม่มีฝนมาราวเดือนกว่าแล้ว แต่ช่วงนี้คงมีพายุเข้ากระมัง ถึงได้ตกห่าใหญ่ขนาดนี้
“ฝนหลงฤดู”
รพีรำพึงรำพันขึ้นมา แล้วทั้งสองก็รีบไปช่วยกันปิดหน้าต่าง เพราะสายลมเริ่มโหมกระหน่ำพาเม็ดฝนสาดเข้ามาภายในห้อง
หน้าต่างบานสุดท้ายอยู่ในมือพระพาย แต่เขาก็ยังไม่ยอมดึงมันให้ปิดเข้ามาเพราะสายตาเหลือบไปเห็นนกน้อยตัวหนึ่งที่ปลายกิ่งไม้ มันกำลังเปียกปอนและหนาวสั่น กรงเล็บของมันจิกเกร็งเกาะกิ่งไม้ไว้มั่นต้านกระแสลมแรงและหยาดฝนที่โหมเข้าใส่
พระพายสงสัยเหลือเกินว่านกมักมีสัญชาตญาณต่อลมฟ้าอากาศ ก่อนพายุจะมาพวกมันจะกลับรัง แต่เหตุใดเจ้านกน้อยตัวนั้นถึงยังอยู่ตรงนี้
ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะพบว่าที่ปีกของมันมีรอยแผล ที่แท้มันก็บาดเจ็บ มันคงบินไม่ได้สินะ จึงได้จำใจเกาะกิ่งไม้ท้าทายพายุ
พระพายไม่รอช้า เขารีบเอื้อมมือออกไปหมายคว้าเจ้านกตัวเล็ก แต่มันคงอ่อนล้าเต็มทีจึงหมดเรี่ยวแรงที่จะเกาะกิ่งไม้แล้ว ร่างน้อยกำลังจะร่วงลงไป
“อ๊ะ!”
แต่โชคดีเหลือเกินที่มีฝ่ามือใหญ่มาช้อนรับมันไว้ได้ทัน
“พี่ชายพี!”
พระพายเงยใบหน้าตื่นตระหนกไปหาเจ้าของร่างสูงที่เข้ามาซ้อนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ก็อยากจะขอบคุณที่อีกฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วย แขนของรพียาวกว่าเขา ตัวก็สูงกว่าเขา จึงเอื้อมไปคว้าเจ้านกตัวนั้นไว้ได้ทันก่อนที่มันจะร่วงลงไปจากความสูงชั้นสามของเรือนหลังใหญ่ แต่ยามนี้ทั้งเจ้านกตัวจ้อยและพระพายที่อยู่ในอ้อมแขนของรพี ต่างก็เปียกปอนไปด้วยกันทั้งหมด
คุณชายรพีวางนกไว้ในมือพระพายแล้วเขาก็รีบเอื้อมไปปิดหน้าต่าง ปล่อยกระแสลมแรงและสายฝนโหมกระหน่ำอยู่ด้านนอก ส่วนสามชีวิตภายในห้องอยู่รอดปลอดภัยแล้ว
อีกห้านาทีต่อมาเจ้านกเจ้าปัญหาก็สั่นงก ๆ อยู่บนโต๊ะทำงาน โดยมีหม่อมหลวงพระพายกับคุณชายรพีนั่งจ้องหน้ากันอยู่คนละฟากของโต๊ะ เหตุเพราะพระพายขอเลี้ยงมันไว้เพราะสงสาร แต่รพีไม่อนุญาตเพราะคิดว่ามันควรมีอิสระอยู่ในป่าหรือในที่ของมัน
“มันหลงทางมาและยังบาดเจ็บ ป่านนี้รังของมันก็คงโดนฝนหลงฤดูทำพังไปแล้ว พี่ชายพีจะใจร้ายไล่มันไปได้ลงคอเชียวหรือครับ” พระพายสบดวงตาสีดำขลับแล้วกะพริบตาปริบ “มีหลายชีวิตที่อาศัยใบบุญของตุลยาธร พี่ชายพียังเมตตาเลี้ยงไว้ ให้ข้าวให้น้ำให้ที่ซุกหัวนอน กับแค่นกตัวจ้อยแค่นี้มันจะกินเก่งสักแค่ไหนกันเชียว เลี้ยงมันไว้เถิดนะครับ น้องขอร้อง”
กะพริบตาสองสามทีเพื่อบีบน้ำตาให้ไหลออกมา แต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ไม่ยอมไหล พระพายจึงก้มหน้าลงแล้วแอบหยิกแขนตัวเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง รพีจึงได้เห็นหยาดน้ำคลอหน่วยตาทั้งสองข้าง
“เอาละ ๆ พี่ยอมให้เลี้ยงก็ได้ แต่น้องต้องดูแลมันให้ดี อย่าให้มันบินเพ่นพ่าน และทำข้าวของในวังเสียหายเด็ดขาด”
รพีจำได้ว่าเขาเคยพรากชีวิตกระรอกน้อยตัวหนึ่งไปจากพระพาย จึงถือเสียว่าชดใช้ด้วยการให้พระพายเลี้ยงนกตัวนี้แทนก็แล้วกัน
“ได้ครับ น้องจะดูแลมันอย่างดี ขอบคุณครับ พี่ชายพีใจดีที่สุดเลย สมแล้วที่คนทั้งวังตุลยาธรให้ความเคารพนับถือ”
รพีเผลอยิ้มมุมปากนิด ๆ “เห็นจะมีอยู่คนหนึ่งกระมังที่ไม่ใคร่จะให้ความเคารพพี่นัก”
“ใครหรือครับพี่ชายพี” พระพายถามตาใส แล้วรีบไปพูดกับเจ้านกตัวน้อยก่อนที่จะโดนรพีสวนกลับ “นี่ ขอบคุณพี่ชายพีสิเจ้าจ้อย”
เจ้าจ้อยอีกแล้วหรือ พระพายจะตั้งชื่อสัตว์ตัวเล็ก ๆ ทุกตัวว่าเจ้าจ้อยหรืออย่างไร หรือว่าตั้งใจจะค่อนขอดเขาเรื่องที่ขับรถเหยียบเจ้ากระรอกตัวนั้นกันแน่นะ
“พี่ชายพี พี่ชายพี”
แล้วเจ้านกตัวจ้อยก็ร้องขึ้นมา พร้อมกับเดินไปเดินมาอยู่บนโต๊ะ เล่นเอาราชนิกุลหนุ่มทั้งสองแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“มันพูดได้ด้วยครับพี่ชายพี” พระพายอุทานอย่างตื่นเต้น
“เช่นนั้นมันคงเป็นนกเลี้ยงมีเจ้าของ เตรียมตัวไว้เถิด ฝนหยุดตกเมื่อใด เจ้าของเขามาตามทวงคืนแน่”
“ไม่นะครับ น้องไม่คืน ถ้าเราไม่ช่วยมันไว้ มันก็ตายไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้เราเป็นเจ้าของมันแล้ว”
“เจ้าของ เจ้าของ” เจ้าจ้อยพูดตามอย่างรวดเร็ว
“เห็นไหมครับ เจ้าจ้อยยังรู้ภาษา”
“อย่างนั้นพี่ก็เป็นเจ้าของมันสิ เพราะพี่เป็นคนช่วยชีวิตมัน”
“น้องเห็นก่อน เช่นนั้นแล้วก็ถือว่าน้องมีส่วนช่วยด้วยครึ่งหนึ่ง”
“เอาละ ถือว่าเราเป็นเจ้าของร่วมกัน อย่างนั้นพี่ขอใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของชีวิตมันครึ่งหนึ่ง หากเจ้าของมันมาตาม เราต้องคืนมันให้เจ้าของเดิมนะ”
พระพายกัดปากอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตอบออกไป
“น้องก็ขอใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของอีกครึ่งหนึ่ง ให้เวลาเจ้าของเก่ามันถึงยามพระอาทิตย์ตกดินในวันพรุ่งนี้ หากยังไม่มีใครมายืนยันสิทธิ์ น้องจะดูแลมันตลอดไป”
รพีระบายลมหายใจออกมาหนัก ๆ เขาไม่เคยต้องต่อกรกับคนเช่นพระพายมาก่อนเลย ไม่ว่าจะในวังตุลยาธรหรือแม้แต่ในกระทรวงการต่างประเทศอันเป็นต้นสังกัดของเขา อาจเป็นเพราะผู้คนเหล่านั้นให้ความเคารพนับถือหรือไม่ก็กริ่งเกรงเขาในฐานะที่เขาเป็นหม่อมราชวงศ์รพี ตุลยาธร เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของหม่อมเจ้าตะวันฉายผู้สืบเชื้อสายขัตติยวงศ์ แต่กับหม่อมหลวงพระพายเขาก็คงเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่น้องจะใช้เล่ห์กลใดก็ได้ พยศ ดื้อรั้น หรือแม้กระทั่งการแสร้งบีบน้ำตาเช่นเมื่อครู่ แต่ไม่รู้ทำไมหม่อมราชวงศ์รพี ตุลยาธรคนนี้ ถึงได้มีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก เขาไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่ง พระพายโพล่งออกมา
“พี่ชายพียิ้มแล้ว ยามยิ้มก็หล่อเหลาเอาการเลยนี่ครับ วันหลังก็ยิ้มบ่อย ๆ นะครับ”
รพีรีบยกผ้าขึ้นมาเช็ดเส้นผมที่ยังหมาดอยู่ และส่งสายตาดุให้เจ้าจ้อยที่เอาแต่พูดตามพระพาย
“ยิ้มบ่อย ๆ ยิ้มบ่อย ๆ”
