2 ต้อนรับการกลับมา
1 ปีผ่านไป...
“เสียงที่ท่านได้ยินอยู่ในขณะนี้เป็นเสียงของผู้ใหญ่บ้าน...”
“เอ้กอี้เอ้ก!” เรือนร่างหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงขยับเล็กน้อย ก่อนพลิกตัวคว้าเอาหมอนทับลงบนศีรษะตัวเองอีกที อุดหูเอาไว้อย่างชำนิชำนาญ
ความรู้สึกของเช้าวันนี้ มันเหมือนตอนสมัยเด็กๆ ที่ได้นอนคดคู้อยู่ที่บ้าน...
บ้าน?
สติรู้ตื่นที่กำลังจะผล็อยไปกับเตียงขนาดกลางนั้น ค่อยๆ เต็มตื้นขึ้นมา
เดี๋ยวนะ...นี่เราอยู่บ้านเหรอ?
พึบ! ลำแขนแข็งแรงดึงหมอนและผ้าห่มออกจากบริเวณศีรษะ ลืมตาโพลงขึ้นมาพร้อมมองไปรอบๆ ห้อง
ห้องน้อยๆ ที่ข้าวของยังวางเอาไว้อยู่ที่เดิม แบบไม่ได้เคลื่อนขยับไปไหน แต่ยังคงดูใหม่เหมือนทำความสะอาดอยู่เสมอ
“เออ...เราเพิ่งกลับมาถึงเมื่อคืน ร่างกายรวนสมองก็รวนไปหมดสินะ” ว่าพร้อมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะอีกครั้ง เธอยังไม่อยากจะตื่นตอนนี้หรือรับรู้อะไร
เธออยากจะนอนหลับใหลอยู่บนเตียงอีกสักหลายๆ นาที ให้สมกับที่...จากไปนานแสนนาน!
“ก๊อกๆ”
“รจนาเอ๊ย...รจนาลูก! ตื่นได้แล้ว นี่มันจะสิบโมงเช้าแล้วนะ มาทานข้าวทานปลาได้แล้วลูกเอ๊ย!” คนที่เหมือนจะเพิ่งดึงผ้าห่มคลุมศีรษะไปได้ไม่กี่นาที ส่งเสียงในลำคอเล็กน้อย แต่ก็ยอมลุกก้าวเดินลงจากเตียง เพื่อไปเปิดประตูให้มารดา
“ยังนอนไม่อิ่มเลยแม่...ง่วงมาก” แล้วเธอก็โผเข้ากอดมารดา ในสภาพที่ศีรษะยังยุ่ง หน้ายังยับ เหมือนในวัยเด็กแบบที่ไม่ยอมจะโตสักที
“ไปอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาได้แล้ว วันนี้พ่อกำนันเขาจะจัดงานฉลองต้อนรับการกลับมาของลูก เดี๋ยวก็จะมีแขกมีชาวบ้านมาช่วยกันทำอาหารกันเต็ม...” รอยยิ้มของมานี หล้าสุริยนต์ เหือดไปเล็กน้อย เมื่อได้เห็นรูปร่างของบุตรสาวถนัดตา จากที่เมื่อคืนเห็นเพียงแต่ว่าเธอดูอวบขึ้น แต่ก็ไม่คิดว่าจะดูอวบ..มากขนาดนี้
“ไปอยู่นู่นอาหารมีแต่ของมันๆ เหรอ...ทำไมดูอุ้ยอ้ายขึ้นขนาดนี้” ว่าพร้อมบีบแก้มสองข้างของบุตรสาวไปมา และจับตามเนื้อตัวที่ดูอวบหนาขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดูเทอะทะ
“หน้าตาก็โทรม ผมเผ้าแห้งกรอบ ดูหน้าสิ...ตกกระหรือรอยสิวเนี่ยลูก” คนรักสวยรักงามอย่างมานี ภรรยากำนันร้าว หล้าสุริยันต์ รับไม่ได้กับสภาพที่ดูแทบไม่ได้ของบุตรสาว
“ก็มันเรียนหนักนี่แม่ ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง เหนื่อยมากก็หิวมาก เดี๋ยวรจนาค่อยกลับมาลดอยู่บ้านเอาก็ได้”
“ไม่ได้นะลูก ต่อให้จะเรียนหนักแค่ไหน ผู้หญิงเราก็ต้องรู้จักดูแลตัวเอง...ห้ามปล่อยเนื้อปล่อยตัวเด็ดขาด อีกอย่างคืนนี้เดี๋ยวพี่ปอเขาก็จะมาด้วย เรียนจบมาแล้วแบบนี้คงถึงเวลาที่ผู้ใหญ่จะได้คุยกันสักที แม่ล่ะตื่นเต้น...” ชื่อของบุคคลที่ถูกเอ่ยถึง ทำเอาใจหญิงสาวเต้นแรงขึ้นมา
“เขาจะมาแน่หรือคะแม่?”
“อ้าว ทำไมถามแบบนั้นล่ะลูก...คู่หมั้นเขากลับมาทั้งทีจะไม่มาได้ยังไง พูดจาประหลาดนะเรานี่” รจนายิ้มแหย เม้มริมฝีปากอวบอิ่มไปมา จนเหนียงใต้คางขยับ
“ไม่ประหลาดหรอกแม่ รจนากับพี่ปอไม่ได้คุยกันมาจะปีหนึ่งแล้วนะ ขนาดส่งข้อความไปเขายังไม่อยากจะอ่าน นับประสาอะไรกับการมาหาถึงบ้านล่ะแม่” ว่าในเชิงน้อยใจแต่ก็ยอมรับ ไม่ได้คิดที่จะโวยวาย ฟูมฟายหรือตามตื๊อแต่อย่างใด
“โอย พี่เขายุ่งรึเปล่า ไม่มีเวลามาส่งข้อความอะไรพวกนี้หรอก สู้มานั่งต่อหน้าพูดจากันดีกว่า...พี่เขาโตแล้วนะ เขาไม่มานั่งทำอะไรแบบที่เด็กๆ เขาทำหรอก” คนที่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมาพอสมควรเบ้ปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่อยากจะขยายความอะไรต่อ
“ค่ะแม่ งั้นเดี๋ยวรจนาไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
“จ้ะ แต่งตัวสวยๆ ล่ะ อย่าให้เสียชื่อลูกสาวนางงามสามสมัยซ้อนอย่างแม่...” แล้วเรือนร่างสมส่วนของคนที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีก็เชิดขึ้น ก่อนเยื้องย่างเดินออกไป ปล่อยให้บุตรสาวมองตามพร้อมส่ายหน้า
แววตาใสสะดุด...ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความหม่นลง
นึกไปถึงใบหน้าและข้อความหนึ่ง ของใครบางคนที่ส่งมาให้เมื่อหลายเดือนก่อน
‘พี่ว่า...พี่จะถอนหมั้น เราคิดว่ายังไง’
รจนาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เธอเพียงทำให้เขารู้...ว่าเธอรับรู้ และเงียบหาย ไม่ติดต่อไปอีก ไม่ตั้งคำถาม ไม่โวยวายหรือฟ้องญาติผู้ใหญ่
‘มันไม่ใช่ปัญหาของฉันแล้วล่ะ...มันคือปัญหาของเขา ไม่เกี่ยวกับฉัน’ เธอบอกกับลลิตา เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวไปแบบนั้น และทำมันได้จริงๆ ด้วย
งานต้อนรับการกลับมาของกำนันร้าว มีแขกเหรื่อมากันมากมาย มีทั้งเพื่อแสดงความยินดี...มาเพื่อรับประทานอาหารอร่อย มาเพื่อ ‘ดู’ และเก็บข้อมูลไปพูดต่อ
“อ้วนขึ้นเยอะเลยเนอะ...ว่าแล้วทำไมลูกชายเถ้าแก่ปัญญา ถึงได้ควงสาวอื่น” เสียงซุบซิบแว่วมาเป็นระยะ แบบถ้าไม่ได้ตั้งใจฟังจริงๆ คงจะไม่ได้ยิน
แต่รจนากลับได้ยินทุกอย่าง แต่ก็เลือกที่จะนั่งรับประทานอาหารไปเงียบๆ ปล่อยให้คนหน้าใหญ่สองท่าน รับแขกไป
“ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแบบนี้ ถ้าเป็นฉัน ฉันก็ไม่เอา...คุณครูฝ้ายสวยอย่างกับนางฟ้า เป็นฉัน ฉันก็ทิ้งจ้ะ...อุ้ย สวัสดีค่ะแม่กำนัน” คนตั้งใจฟังเหลือบไปมองจิ้งจกเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนอมยิ้มนิดๆ จนฝ่ายนั้นหน้าเสีย
นินทาลูกเขาอยู่ดีๆ พอแม่เขามาก็พูดจาหวานได้เฉย นับถือจริงๆ
เธอคิดแบบไม่ได้ถือสา เพราะถือว่า 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยจะได้ยินอะไรแบบนี้เท่าไหร่ ได้มาฟังอีกทีก็ถือว่าได้รำลึกความหลัง
นั่งม้วนยำวุ้นเส้นใส่แตงกวาฉบับชาวบ้านเข้าปากไป แบบถูกปาก ไหนจะอาหารพื้นบ้านหลายอย่างที่วางจนเต็มโต๊ะไปหมด
“อร่อยไหมลูกพี่...” เด็กชายผิวสีเข้ม ร่างอวบเดินยิ้มแฉ่งเข้ามาทักทาย พร้อมถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ
“เดี๋ยวนะ...นี่ไอ้แผนใช่มั้ย?”
“ใช่ครับลูกพี่!”
“เฮ้ย! โตขึ้นเยอะเลยว่ะ หล่อด้วยนะเนี่ย” ว่าพร้อมตบไหล่ลูกชายคนข้างบ้าน ที่เป็นเหมือนญาติห่างๆ กันด้วยความสนิทสนม
เมื่อก่อนรจนาเป็นคนที่ชอบเล่นกับเด็กมาก ไม่ใช่แบบสวยรักเด็กอะไรแบบนั้นนะ แต่เป็นแบบเป็นเพื่อนกัน ไปไหนไปกัน
เอาจริงๆ ก็คือเธอยังไม่โตนั่นแหละ!
“ลูกพี่ก็สวยขึ้นเยอะเลยนะครับ ผมแทบจำไม่ได้เลย”
“พูดจาดี เดี๋ยวพี่มีรางวัลให้” เธอว่าพร้อมล้วงเอาช็อกโกแล็ตออกมาจากกระเป๋า ที่ใส่ย่ามไว้เตรียมแจกเต็มที่ แต่เพิ่งจะมีเด็กคนเดียวที่กล้าเดินมาหาเธอถึงนี่
“ขอบคุณมากครับ!” รอยยิ้มแห่งความสุขของเด็กชาย แผน ทำเอาเธอยิ้มแก้มแทบจะแตก
“ไปเรียกเพื่อนมาเอาไป พี่เตรียมมาแจกเยอะมาก”
“จริงเหรอครับ เดี๋ยวผมไปเรียกมาตอนนี้เลยครับ!” แล้วเด็กชายร่างอ้วนก็วิ่งอุ้ยอ้ายไปอย่างรีบร้อน เธอมองตามด้วยใจที่เป็นสุขขึ้นมา
นึกถึงช่วงเวลา 3 ปีที่เธอจากบ้านไปไกล ที่เหมือนได้ไปอยู่อีกโลกโลกหนึ่ง ที่ไม่มีอะไรเหมือนกับที่นี่เลยสักอย่าง
การกล่าวทักทายแขก ขึ้นไปพูดบนเวที เป็นลำดับขั้นตอนอันแสนน่าเบื่อ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ เธอจำต้องขึ้นไปโชว์เรือนร่างอวบ เพื่อให้ใครต่อใครต้องฝืนยิ้มชื่นชม กดถ่ายรูปไปอย่างนั้น
แต่รจนาเชื่อว่า..เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะมีการนินทากันอื้ออึง หรือไม่ก็เต็มสื่อสังคมออนไลน์แบบนักเลงคีย์บอร์ด เอาไปทำมีมตลกต่างๆ ซึ่งเคยทำกันมาแล้ว ตอนที่เธอถ่ายรูปแบบอ้วนๆ นี่ลง ก่อนที่จะกลับมาเมืองไทยได้ไม่กี่วัน
“พอดีว่าตาปอติดธุระน่ะค่ะ ว่าจะตามมาช้าหน่อย” อรวรรณ เวชสุวรรณ เอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ เมื่อบุตรชายไม่ยอมโผล่หน้ามาสักที
รจนาอมยิ้มน้อยๆ มองไปยังผู้ใหญ่ที่ทำสีหน้าแสดงอารมณ์กันไปต่างๆ นานา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สงสัยงานจะเยอะจะยุ่ง ทางเราเข้าใจ ยัยรจนาเป็นคนเข้าใจง่ายค่ะ เนอะลูกเนอะ” หันมาสะกิดบุตรสาว ที่ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย นอกจากยกมือไหว้ทักทายมารดาคู่หมั้น
“ค่ะแม่” เธอจำต้องพูดแบบนั้น แต่ก็ดูฝืนแสนฝืน
