14 ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่
และตั้งแต่วันนั้นรจนาก็ไม่ได้รับอิสระใดๆ
ถูกรถตู้มารับจากบ้านไปตั้งแต่เช้าตรู่ และกลับเข้ามาในยามค่ำ ไม่ได้พบปะผู้คน ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน โดยที่กำนันร้าวได้ไฟเขียวอย่างเต็มที่
‘ผมทำไปเพื่อสุขภาพของน้องครับ’ เหตุผลอันน่าฟังจากเสี่ยทรงยศ ทำเอาท่านพึงพอใจ ส่วนหนึ่งคิดว่าบุตรสาวได้เจอกับผู้ชายที่รักเธอจริง และอีกหนึ่งสิ่งกำนันก็เชื่อว่า ถ้ารจนาสวยขึ้น ปรเมศต้องเสียดายเป็นแน่
ส่วนคนที่อยากจะให้บุตรสาวกลับมาสวยอีกครั้งอย่างมานี ก็ฉวยเอาโอกาสนี้...ด้วยการนิ่งเฉยเสีย ไม่ขัดข้องกับคำอนุญาตของกำนัน แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนอย่างออกนอกหน้า
‘ช่วง 7 วันแรกต้องเข้มงวดหน่อย เพราะต้องปรับให้ร่างกายชิน เพราะจะพาหักดิบ’
“ไม่ไหวแล้ว...พอก่อนได้ไหม” เสียงอันหอบแฮ่ก ตามมาด้วยขาที่ทรุดลงไปกองกับพื้น จนคนวิ่งนำต้องกลับมาช่วยพยุง
“ไม่ได้นะครับคุณรจนา เดี๋ยวไม่ครบตามสูตรครับ” แล้วปีกสองข้างของเธอก็ถูกหิ้วขึ้นมา จากชายฉกรรจ์ที่มีหน้าที่ดูแลการออกกำลังกายของเธอ ที่มีตั้งแบบคาดิโอและเวทเทรนนิ่ง
“โอ๊ย...สักที! ใจแทบขาด” พอครบรอบเท่านั้น หญิงสาวก็นอนแผ่หลาไปกับพื้นแบบที่ไม่สนใจใคร โชคดีที่เธอวิ่งอยู่ในบริเวณบ้านหลังใหญ่ ที่มีพื้นที่กว่า 200 ไร่ ขนาดสนามกอล์ฟยังมีอยู่ในนี้อ่ะคิดดู!
ทรงยศมีทุกอย่างในบริเวณบ้านหลังนี้ ราวกับไม่เคยได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก นั่นคือสิ่งหนึ่งที่เธอจะต้องรู้ให้ได้ ว่ามันเป็นเพราะอะไร เบื้องลึกเบื้องหลังชีวิตของเขา มีที่มาว่าอย่างไร
อะไรบ้าง ที่หล่อหลอมมาให้กลายเป็นคนแบบเขาได้!
“ลุก” เสียงทุ้มดังขึ้นมา ขณะที่เธอนอนหลับตาอยู่บนพื้นสนามหญ้าข้างเส้นทางวิ่ง
รจนาหรี่ดวงตาขึ้นมามอง...ก็พบว่าเป็นร่างสูงตระหง่าน ที่อยู่ในชุดวิ่งสีดำสนิท ตามแบบฉบับชีวิตสีเดียวของผู้ชายคนนี้นั่นแหละ
“รจนาเพิ่งวิ่งเสร็จเองนะ จะให้ไปไหนอีก” เธอโอดออกมา ในขณะที่เขาได้ดึงเธอให้ลุกขึ้นแบบไม่ปราณี
“แรงอีก อีก อีก!” ปกติเรื่องการออกกำลังกาย เขาจะไม่เข้ามายุ่งสักเท่าไหร่ แต่มีชนิดเดียวที่เขาจะมาพาเธอทำด้วยตัวเองเสมอ ซึ่งนั่นก็คือ...
‘ต่อยมวย’
“ดี! อีก อีก!” คนแขนล้าตาลาย ปล่อยแรงไปจนสุดตัวได้ไม่กี่ครั้ง ก่อนจะร่วงผล็อยลงไปกับพื้น จนเขาต้องรับตัวเธอเอาไว้ด้วยลำแขนแกร่ง
“ผมช่วยครับนาย”
“ไม่ต้อง” เขาว่าพร้อมอุ้มเธอไปทั้งอย่างนั้น แบบไม่ได้รู้สึกหนักเท่าไหร่
ตัวก็ดูอวบ ทำไมถึงไม่ได้หนัก...ขนาดนั้น น้ำหนักตัวของเธอที่วงแขนได้รับเอาไว้ ทำให้เขาชะงัก
‘ฉันหนัก 69 กิโล สูง 160 ซม.’ เธอบอกเขาแบบนี้ แต่เขาไม่ได้เห็นตัวเลขบนตาชั่งกับตาตัวเอง
รจนาฟื้นขึ้นมาด้วยสภาพอิดโรย หมดสภาพ จนต้องนั่งซดน้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล ที่พ่อครัวของที่นี่เป็นคนทำให้ทั้งหมด ด้วยใบหน้าเหยเก
“รู้งี้น่าจะสลบต่ออีกสองชั่วโมงเนอะ” เธอบ่นออกมา ในขณะที่สองมืออุ้มถ้วยน้ำเต้าหู้สีขาวทรงสั้นป้อม แต่อวบน่ารัก แบบที่ไม่คาดฝันว่าบ้านหลังนี้ จะมีวัตถุทรงน่ารักขนาดนี้หลุดรอดอยู่ด้วย!
“เพื่อ?”
“จะได้ไม่ต้องฟื้นมากินน้ำเต้าหู้จืดๆ นี่ไงใส่น้ำตาลให้นิดนึง ให้ชื่นใจหน่อยไม่ได้เหรอ?” เธอว่าเชิงอ้อน เหมือนเด็กเพิ่งฟื้นจากไข้ที่อยากจะทานนั่นนู่นนี่
“ไม่ได้ น้ำตาลมันไม่ดีต่อการลดน้ำหนัก”
“รู้ แต่แค่นิดเดียวไง..นิดเดียว!”
“ความนิดเดียวที่พอกพูน ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่” เขามองไปยังพุงโย้ๆ ของเธอ ที่เห็นเป็นชั้นเด่นชัดในคราที่นั่งแบบนี้ จนหญิงสาวต้องยืดตัวขึ้น
“ค่ะ! ไม่เถียงด้วยแล้ว ไม่มีผลไม้เหรอ แบบให้หวานชื่นใจน่ะ ความหวานจากผลไม้ น่าจะไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง” เขาพยักหน้าให้ จนเธออยากจะกระโดดกรีดร้อง
แต่ไม่ทันที่ได้จะกรีดร้องด้วยความดีใจ
ก็เกือบจะได้กรีดร้องด้วยความโมโหแทน!
“นี่เหรอผลไม้น่ะ?”
“อืม” หญิงสาวมองแตงโมชิ้นพอดีคำ ชิ้นเดียววางอยู่บนจานเล็ก พร้อมส้อมจิ้มเล็กๆ วางเคียงข้างอยู่ ด้วยความรู้สึกหดหู่เป็นทวีคูณ
“คุณหิว ก็เลยเผลอทานไปก่อน จนเหลือแค่ชิ้นเดียวใช่มะ?” เธอว่าอย่างมีความหวัง ความหวังที่ว่า...เขาคงไม่ได้ตั้งใจจะให้เธอทานผลไม้แค่ชิ้นเดียวหรอก!
“ทั้งหมดมีแค่ชิ้นเดียว” และเขาก็ตอบแบบไม่ยอมถนอมน้ำใจ
“ใจร้าย!” แล้วเธอก็เอาเข้าปากไป พร้อมอมอยู่แบบนั้น เพื่อที่จะให้ความหวานกลั้วลิ้นให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้
“เดี๋ยวก็ติดคอ” คนที่มองออกว่าเกิดอะไรขึ้นในอุ้งริมฝีปากนั้น รีบว่า
เธอส่ายหน้า ชี้ไม้มือว่าให้เขาเงียบไปก่อน จนเขาต้องส่ายหน้าให้กับความดื้อด้านเกินใครของเธอ
“น่าจะชื่อเงาะป่า ไม่น่าชื่อรจนาเลย” แล้วเขาก็ลุกก้าวออกจากห้องพักฟื้นนี้ไป ปล่อยให้เธออมแตงโมไปคนเดียวจนกว่ามันจะหมดความหวาน!
“มันบ้ากว่าที่ฉันคิด”
“เออ จริง ได้ข่าวจากวงในบอกมาว่า น้องรจนาเนี่ยเป็นลมไปเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง” ปรเมศวางปากกาลงพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย ส่ายหน้ากับการรายงานของนักสืบผู้มีข้อมูลในมือแน่นหนาอย่างจักกฤษ พรมวิลาศ เพื่อนรักที่คอยช่วยเหลืองานนั่นนี่อยู่บ่อยๆ
“บ้ากว่านั้นคือกำนัน ยอมให้มันทำแบบนั้นกับลูกสาวตัวเอง ฉันงงมาก ยอมให้มันมารับลูกสาวออกจากบ้านไปทุกวัน สงสัยจะแค้นแกหนักจริงๆ ว่ะ”
“จุดประสงค์ของมัน ไม่ใช่แค่จะยั่วฉันแน่ๆ” คนที่รู้ตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ว่าด้วยความรู้สึกเป็นห่วง
“รู้ขนาดนี้แล้ว แกจะทำยังไง ไม่ไปช่วยอดีตคู่หมั้นหน่อยเหรอ จรกากำลังจะมาชิงตัวนางบุษบาแล้วนะเว้ย” จักกฤษทำเป็นแซวไปอย่างนั้น เพราะรู้ดีว่าคนอย่างปรเมศ ไม่มีทางที่จะอยู่เฉยได้
“มันต้องการที่ดินของอากำนัน ในโซนที่ติดโรงงานผลิตยาของพวกมัน แต่อากำนันคงโกรธฉันจนลืมคิดเรื่องพวกนี้ไป” จักกฤษพยักหน้า เพราะเขาเองก็ลืมคิดเรื่องนี้ไปเช่นกัน
“แสดงว่ามัน ไม่ได้แค่จะยั่วแกเท่านั้น”
“มันรู้ ว่าฉันจะรู้จุดประสงค์มัน...และฉันจะไม่ยอมอยู่เฉย” ความบาดหมางของสองหนุ่มที่มีมาตั้งแต่สมัยไหน เหมือนเป็นเสือสองตัวที่ไม่มีวันจะอยู่ร่วมกันได้ ใครๆ ต่างก็ทราบดี
แต่เหตุผลแท้จริง กลับไม่มีใครได้รู้
ว่ามันคืออะไรกันแน่...
ทั้งๆ ที่เรื่องของผลประโยชน์ สองหนุ่มไม่เคยจะทับซ้อนกันเลยสักครั้ง
“จะทำอะไรก็รีบทำ ฉันสงสารน้องรจนาว่ะ โดนถอนหมั้นยังไม่พอ ยังจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือแก้แค้นให้กับสองหัวโจก มันดูไร้สาระยังไงก็ไม่รู้” จักกฤษว่าอย่างติดตลก เพราะเขาเองก็เพิ่งจะได้มาอยู่แถวนี้ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็เลยไม่ได้รู้เหมือนกันว่า
ความบาดหมางระหว่างปรเมศกับทรงยศ มันคืออะไรกันแน่
“อันที่จริงไม่ต้องมาส่งด้วยตัวเองก็ได้นะคะ ให้ลูกน้องมาส่งเหมือนทุกวันก็ได้” เจ้าของใบหน้าซีดเซียวเอ่ยขึ้นมา ในขณะที่นั่งมาบนรถตู้ที่มีทรงยศนั่งมาด้วย
ซึ่งปกติ เขาจะให้ลูกน้องเป็นคนไปรับไปส่งเธอ โดยที่เขาก็ไปทำธุระอย่างอื่น ที่พันรัดตัวแน่นหนา
“ทำไม จะแวะข้างทางไปหาอะไรกินอีกเหรอ” สาวเจ้าหันขวับ
“อย่ามาปรักปรำกันโดยไม่มีหลักฐานนะ!” ว่าอย่างติดพิรุธ เพราะเมื่อวานเธออ้อนคนขับรถจนเขาแอบพาแวะซื้อ
ว่าแล้ว...ทำไมถึงเปลี่ยนคนขับรถ
“เดี๋ยวนะ! นี่อย่าบอกนะว่าคุณจัดการปาดคอคุณลุงคนขับรถเมื่อวานไปแล้วน่ะ! คุณนี่มัน...”
“ชอบดูมากสินะ หนังฆาตรกรโรคจิตน่ะ” เขาปรายหางตามามองพร้อมส่ายหน้า
“ก็ไม่รู้สิ เห็นวันนี้เปลี่ยนคนมานี่”
“ฉันแค่ทำโทษนิดหน่อย” เธอตาโตขึ้นทันที เพราะคำว่านิดหน่อยของคนอย่างเขา มันน่าจะหนักหนาเอาเรื่องอยู่!
“ยังไง! ตัดนิ้วเหรอ? หรือว่าจัดมือทิ้งไปเลย!” เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“หัดดูโดเรมอนบ้างนะ หัวสมองจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน” แล้วก็ตามาด้วยการส่ายหน้ายกใหญ่ ใครจะรู้ว่าเขาแอบยิ้มให้กับสายลมข้างทางอย่างไม่รู้ตัว นึกเอ็นดูใบหน้าอวบอิ่มที่คิดไปนั่นไปนี่ ไม่รู้จักจบ
“ก็คนมันเป็นห่วงคุณลุงนี่ คุณลุงไม่ผิดเลยนะ ถ้าจะทำโทษอะไร ทำโทษรจนานี่ รจนาจะรับผิดชอบเอง”
“จะเอาตัดนิ้วหรือว่าตัดลิ้นดีล่ะ”
“นั่นไง! คุณตัดนิ้วคุณลุงจริงๆ ด้วย!” เธอเอามือปิดปากตัวเองเชิงตกอกตกใจ จนเขาต้องเอามือมาวางบนศีรษะ วางแบบอบอุ่น เชิงจะลูบให้เธอหายกลัว...
“หรือว่าจะหักคอดี” แล้วเขาก็กดมือลงบนศีรษะเธอ พร้อมทำท่าจะหมุน
“อร๊าย! อย่านะ!! อย่า!!!” แล้วเธอก็กรี๊ดลั่น พร้อมๆ กับที่รถเบรกทันที เสียงล้อรถเบียดถนนดังสนั่น!
มือที่กำลังแกล้งเธออยู่นั้น ผลักศีรษะเธอให้ล้มลงมาบนหน้าอกตัวเองเชิงปกป้อง
มันช่างเป็นวินาทีที่น่าหวาดเสียว แต่กลับสร้างความอบอุ่นใจได้อย่างประหลาด
กลิ่นน้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์จากกายเขา ทำเอาเธอใจตุ้มต่อม บอกไม่ถูกว่ามันคือการใจสั่น...หรือใจเต้นแรงกันแน่
ไออุ่นจากกายเขา ทำเอาความน่ากลัวทั้งหมดเลือนหดหายไป ตามมาด้วยความรู้สึกปลอดภัย...จนเธอเผลอซุกหน้าลงไปซบแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้นมา ปัง! ปัง! ปัง!
