เริ่มหาช่องทางทำเงิน 1.2
หญิงสาวพูดกับตัวเองอยู่เบา ๆ ไม่นานหลี่ถงเอ๋อก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับทำท่าทางตื่นเต้น
“พี่ใหญ่ พวกเราต้องไปทำงานกันแล้วนะ อย่ามัวชักช้าอยู่เลย”
“จริงด้วยสิ วันนี้นอกจากจะต้องไปทำงาน ยังเป็นโอกาสทำให้เราได้ออกจากบ้าน เพื่อที่จะไปดูลู่ทางในตลาดมืดด้วย ถ้าอย่างนั้นงานวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน” หลี่ฟางซินได้ยินก็นึกขึ้นมาได้ ว่าเธอต้องไปทำงานกับน้องสาว
เธอรีบเดินไปหาน้องสาวที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้ หลังจากนั้นชักชวนกันกลับเข้าบ้านเตรียมตัวแล้วออกไปด้านนอก การทำงานในคอมมูนเป็นการแลกเปลี่ยนและหางานแบบที่ง่ายที่สุด นอกจากนี้เธอกับน้องยังยึดอาชีพหาสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ จากตลาดมืดนำมาแลกเปลี่ยนกันที่นั่น
“ถงเอ๋อร์กลับบ้านไปก่อนนะ พี่จะเดินไปดูของในตลาดมืดสักหน่อย” หลังจากทำงานที่คอมมูนเสร็จ เธอให้น้องสาวเดินทางกลับมาที่บ้านก่อน เพื่อที่จะไปเดินตระเวนดูสินค้าภายในตลาดมืดตามลำพัง ซี่งหลี่ถงเอ๋อก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
จากนั้นหลี่ฟางซินจึงเดินทางไปที่ตลาดมืดโดยไม่ต้องถามใคร เพราะนอกจากจะได้อ่านหนังสือนิยายมาแล้ว เธอยังมีความทรงจำของร่างเดิมอยู่มากเลยทีเดียว เมื่อเดินทางมาถึงจึงได้รู้ว่าในช่วงระยะนี้ ยังเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นจากปลายการสับเปลี่ยนการปกครอง แต่ยังไม่ถือว่าเข้าสู่ยุคการปฏิวัติเต็มตัว ในตอนนี้จึงยังเป็นโอกาสที่ทำให้สามารถสร้างธุรกิจได้อยู่บ้าง หญิงสาวจึงมีความคิดวางแผนการใหญ่เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้เริ่มธุรกิจ
ในขณะที่กำลังเดินดูสินค้าเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น พบว่าตัวเองกำลังรู้สึกหิวขึ้น จึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ ร้านขายอาหาร แต่ไม่คาดคิดว่ากระเป๋าสะพายของเธอจะถูกคนร้ายกระชากแล้ววิ่งจากไป เธอตกใจมาก แม้จะวิ่งตามไป แต่กลับไม่ทันจึงได้แต่ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยค่ะ มีโจรวิ่งราวกระเป๋าของฉัน ใครก็ได้ช่วยด้วย”
ชายคนนั้นวิ่งอย่างรีบร้อนผ่านตรอกแคบออกไป เสียงของหลี่ฟางซินไล่หลังเขาไป พร้อมกับตัวเองที่วิ่งอย่างสุดกำลัง แต่ก่อนที่ชายคนนั้นจะวิ่งพ้นตรอกออกไปได้ กลับถูกกำปั้นของใครบางคนที่เดินสวนเข้ามากระแทกเข้าที่ลำตัวอย่างแรง ขโมยตัวร้ายทรุดลงไปนอนกับพื้น ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาค่อนข้างดุ ใช้เท้าเหยียบลงไปบนร่างของขโมยอย่างไม่มีความปรานี
“มือเท้าดี ๆ ทำไมถึงไม่ไปทำมาหากิน เพราะมีความคิดแบบนี้ชีวิตถึงได้อยู่แค่นี้” เขาพูดออกมาอย่างดุดันน่าเกรงขาม
“ปล่อยฉัน แกเป็นใครรีบปล่อยฉันซะ” คนร้ายดิ้นรนอยู่ใต้เท้าของชายร่างสูงใหญ่พร้อมกับร้องบอกให้ปล่อย
“ปล่อยแกอย่างนั้นหรือ ถ้าฉันเชื่อแก ก็คงจะไม่เหยียบแกเอาไว้แบบนี้หรอก คนอย่างแกต้องโดนกระทืบแบบนี้”
พูดจบเขาก็ยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงไปอีกครั้ง ทำให้คนร้ายที่ยังไม่หายจากอาการจุกเพราะถูกต่อยเข้าที่ชายโครงต้องเงียบเสียงลงทันที
หลี่ฟางซินวิ่งตามมาถึง พบว่ากระเป๋าของเธอถูกดึงออกมาจากมือของขโมยคนนั้นแล้วยื่นส่งมาให้เธอ
“กระเป๋าของเธอ ค่อนข้างจะเบานะ” ชายคนนั้นนอกจากจะยื่นมากระเป๋าให้แล้วยังพูดขึ้นมาอย่างหยอกเย้า
หลี่ฟางซินฉวยรับกระเป๋าออกมาจากมือของอีกฝ่าย ทั้งเขินและแอบโกรธ แต่ก็ยังพูดจาอย่างหยิ่งยโสสวนกลับไป
“อีกไม่นานกระเป๋าที่จะใส่เงินของฉัน มันจะต้องใหญ่ขึ้นกว่านี้มาก แต่ยังไงก็ต้องขอขอบคุณมากนะคะที่ช่วยจับขโมยให้ฉัน”
เขาไม่พูดอะไรอีกเพียงแค่ยักไหล่ แต่ดวงตาคู่คมยังเป็นประกายมองเธออย่างพิจารณา เธอเองก็มองตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นเดียวกัน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันคงต้องขอตัวก่อน เดินระวัง ๆ ด้วยล่ะ” เมื่อจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้นมา
“ขอบคุณมากนะคะ คุณชื่ออะไร ฉันจะได้ขอบคุณถูกและเผื่อจะได้ตอบแทนในภายหลัง” หลี่ฟางซินถามออกไปเผื่อจะได้ทำอย่างที่บอกเขาไปในสักวัน
“ไม่จำเป็น เพราะถึงยังไงเราก็คงจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ลาก่อน” ชายคนนั้นยักไหล่ตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อน ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”คำพูดหยิ่งยโสของชายหนุ่ม ทำให้เธอเองก็ไม่คิดที่จะขอบคุณซ้ำสอง ทว่าในช่วงที่เธอนั้นหมุนตัวเดินจากไป บังเอิญว่าผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าที่ถูกคนร้ายเปิดค้างเอาไว้ได้ร่วงออกไปไม่รู้ตัว
เธอเดินจากไปแล้ว แต่ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นยังปลิวมาตามลมทำให้ชายคนนั้นสามารถคว้ามันเอาไว้ได้ทัน จะเรียกให้หญิงสาวหันกลับมารับผ้าเช็ดหน้ากลับไปก็ไม่ทัน โจวเฟยเทียนจึงเก็บเอาไว้เอง
ใช่แล้ว ชายคนนั้นก็คือโจวเฟยเทียนนั่นเอง!!
