ฉันหลุดเข้าไปในโลกนิยายหรือเนี่ย 1.2
วิญญาณซึ่งยังคงห่วงบริษัทและมีแรงผลักดันอันแรงกล้า กรีดร้องคร่ำครวญอย่างน่าเวทนา พลันเสียงของดวงวิญญาณที่ยังมีห่วงคงจะดังขึ้นไปถึงสวรรค์ จึงมีแรงดึงดูดดึงร่างของเธอขึ้นไปพ้นเมฆหนาสีทองรุ้ง ดวงตากลมตกตะลึงเพราะตรงหน้าของเธอมีเด็กหญิงขายหนังสือนิยายก็ยืนยิ้มรออยู่
“พี่สาว ที่ไม่อยากตายเพราะเสียดายอะไรกันแน่ เสียดายที่ไม่ได้แต่งงาน หรือเพราะยังอยากทำหน้าที่ให้จบ” เด็กหญิงถามออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสใคร่รู้
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง อย่าบอกนะว่าเธอก็ตายมาแล้วเหมือนกัน” ฟางซินถามออกไปอย่างสงสัย
“ตอบคำถามฉันก่อนสิคะ” เด็กน้อยไม่ตอบคำถามของหญิงสาวแต่กลับทวงคำตอบที่ได้ถามก่อนหน้า
“ก็ทั้งสองอย่างนั้นล่ะ ใครจะอยากตายทั้งที่ยังไม่ได้ไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตกันล่ะ ไหนจะยังเรื่องชีวิตคู่อีก เกิดมาชาตินี้ก็ยังไม่มีผู้ชายที่มีความ สามารถมาทำให้หัวใจหวั่นไหว แล้วตายไปทั้งที่บริสุทธิ์แบบนี้ มันยุติธรรมแล้วหรือ” ฟางซินพูดออกไปอย่างไม่ยินยอม เพราะเธอวางมาตรฐานคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตไว้สูงพอสมควร จึงทำให้ตอนนี้เธอยังไม่มีเห็นว่าใครมีความ สามารถพอสักคน
“เห็นแก่ที่พี่สาวเป็นคนทำงานด้วยความซื่อสัตย์ เพราะฉะนั้นฉันจะให้โอกาสได้กลับไปเลือกคู่ชีวิตอีกครั้งนะคะ”
“หมายความว่ายังไง เธอมีหน้าที่ตัดสินชะตาชี้เป็นชี้ตายของวิญญาณในโลกใช่ไหม บอกมาเดี๋ยวนี้” ฟางซินได้ยินอย่างนั้นก็รีบถามขึ้น
เด็กหญิงไม่ตอบแต่กวาดมือไปมากลางอากาศ ก่อนที่หมู่เมฆสีทองเริ่มรวมตัว หลังจากนั้นร่างของหญิงสาวก็ถูกดูดลงไปเบื้องล่างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งแรก เสียงของเด็กหญิงยังคงลอยตามติดมา ในขณะที่ฟางซินหลับตาแน่น เพราะเกิดความรู้สึกหวาดกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก
“จำเอาไว้ให้ดีนะคะ พี่สาวต้องตั้งตัวอยู่ในศีลธรรม และอย่าทำอะไรให้เกินเลยเกินขอบเขต พยายามสร้างกุศลเอาไว้ให้มากๆ แล้วทุกอย่างจะดี”
สิ้นเสียงของเด็กหญิง ฟางซินก็สะดุ้งลืมตาขึ้นมาเพราะแรงเขย่าจากแขนของผู้หญิงที่อยู่ข้างตัวพร้อมกับเสียงเรียกใครสักคนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ซินเอ๋อร์ ซินเอ๋อร์ของแม่ ฟื้นเสียทีเถอะลูก”
ฟางซินสะดุ้งตกใจ เพราะภาพสุดท้ายที่จำได้ นั่นก็คือร่างของเธอนอนจมกองเลือดอยู่กลางถนน แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปรอบ ๆ ห้อง กลับพบว่าตัวเองอยู่ภายในบ้านพักกลางเก่ากลางใหม่ที่แปลกตามากหลังหนึ่ง
หลี่จินเอียนตกใจอย่างมาก ที่อยู่ ๆ บุตรสาวซึ่งลื่นล้มหัวฟาดพื้นสลบไปสามวันสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมานั่งอย่างกะทันหัน
“ที่นี่ที่ไหนกัน ฉันมาอยู่ที่ไหน” ฟางซินหันมาถามอย่างสงสัย
“ซินเอ๋อร์ของแม่ ลูกฟื้นแล้ว สวรรค์เมตตาลูกสาวของฉันแล้ว” หลี่จินเอียนพูดขึ้นมาอย่างดีใจอย่างมาก
“คุณป้าคะ คุณป้าเป็นใครกัน มาเรียกฉันว่าเป็นลูกสาวได้ยังไง แม่ของฉันเสียไปนานมากแล้วนะคะ แล้วคุณป้าเป็นใครกันพาฉันมาที่นี่ได้ยังไง” ฟางซินมองคนตรงหน้าอย่างสงสัยเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะถามกลับไปอีกครั้งด้วยความสงสัย
“โธ่เอ๊ย นี่คงเป็นเพราะว่าหัวกระแทกพื้นอย่างแรงแน่ ๆ ถึงได้ความจำเสื่อมจำอะไรไม่ได้อย่างนี้ คุณคะ รีบมาดูลูกเร็วเข้า พวกเราคงจะต้องพาลูกไปโรงพยาบาลจริง ๆ แล้ว รีบไปขอร้องแม่และยืมเงินท่านเถอะค่ะ” หลี่จินเอียนได้ยินคำถามของลูกสาวก็เริ่มจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เธอเรียกสามีให้มาพอลูกสาวไปหาหมอเพราะคิดว่าลูกสาวได้รับความกระทบกระเทือนในสมองจนจำอะไรไม่ได้
“พูดยังไงแม่ก็ไม่ยอม เธอเองก็เห็นตั้งแต่วันแรกที่ลูกล้มแล้วไม่ใช่หรือ ตอนนี้รีบดูแลซินเอ๋อร์ก่อนเถอะ”
ฟางซินมองไปก็ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยท่าทางเหนื่อยใจไม่น้อย เธอจึงที่กำลังสับสนแต่แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็เอ่ยปากบอกออกไปว่า
“ไม่ต้องหรอกนะคะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนขอหยิบยืมเงินของคืนอื่นให้ลำบาก เดี๋ยวฉันก็กลับบ้านได้เองแล้วค่ะ”
“พ่อจะไปหยิบยืมเงินใครที่อื่นที่ไหนกัน เงินที่จะไปยืมก็คือเงินของย่าหลี่ ย่าของลูกเองนะฟางซิน นี่ลูกสติเลอะเลือนไปแล้วหรือ โถ่เอ้ย” หลี่จินเอียนพูดขึ้นด้วยความสงสารลูกสาวที่ความจำเสื่อม
“พ่อ แม่ ย่าหลี่ เหรอคะ” ฟางซินเอ่ยทวนอย่างสงสัย
“ก็ใช่น่ะสิ แม่คือของลูกชื่อหลี่จินเอียน นี่พ่อหลี่เกา และยังมีย่าหลี่ด้วยนะที่เป็นย่าของลูก ฟางซินมาเถอะแม่จะเล่าเรื่องของบ้านเราให้ลูกฟัง เผื่อลูกจะจำอะไรได้บ้าง”
จากนั้นพ่อและแม่ก็เข้ามาประคองฟางซินซึ่งยังอยู่ในอาการมึนงง ไม่เข้าใจว่าตนเองมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง แต่หลังจากนั่งฟังอย่างตั้งใจไปสักพัก และเพียงแค่ได้ยินชื่อของย่าหลี่ เธอก็ถึงกับตกใจ เพราะที่นี่คือโลกในนิยายที่เธอซื้อมาจากเด็กหญิงเมื่อวานนั่นเอง ตระกูลหลี่ บ้านรอง บ้านหลัก ที่เธออ่านแล้วรู้สึกหงุดหงิดใจ
นี่เธอหลุดเข้ามาอยู่ในโลกของนิยายที่ตัวเองอ่านแล้วสินะ!
