ฉันหลุดเข้าไปในโลกนิยายหรือเนี่ย 1.1
บทที่ 1 ฉันหลุดเข้าไปในโลกนิยายหรือเนี่ย
หนังสือนิยายเล่มเก่าถูกวางอยู่บนผืนผ้ามอซอที่ถูกปูเอาไว้บนพื้นริมถนน มีเด็กหญิงหน้าตาค่อนข้างน่ารักยืนเรียกให้ลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อ
“หนังสือเก่าอ่านสนุก อ่านแล้วชะตาเปลี่ยน เล่มละห้าหยวน ใครไม่ซื้อถือว่าได้ทิ้งโอกาสดี ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย”
น้ำเสียงสดใสของเด็กหญิงที่ป่าวประกาศขายหนังสืออย่างโอ้อวดสรรพคุณ ชักชวนสายตาของฟางซินให้มองไปยังคนพูด เพราะครอบครัวของเธอเคยมีน้องสาว แต่ที่เสียชีวิตไปแล้วในวัยเด็กตอนนั้นน้องก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กหญิงที่กำลังเดินเรียกลูกค้าคนนี้ โชคไม่ดีที่วันนี้ไม่มีใครสนใจเด็กหญิงตัวน้อย ไม่ว่าจะเดินตามตื๊อให้ลูกค้าคนไหนซื้อหนังสือบนผืนผ้าที่ปูบนพื้น กลับไม่มีใครใส่ใจหรือสนใจ ฟางซินรู้สึกสงสารมองเห็นเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกับน้องสาวที่เคยเสียชีวิตไปก็รู้สึกใจหาย
ความเมตตาที่มีเป็นทุนเดิม ทำให้เธอสาวเท้าเดินก้าวเข้าไปหาโดยไม่คิดลังเล
“เล่มละกี่หยวนนะ แม่หนู” ฟางซินถามขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
“ไม่ได้ชื่อแม่หนู ฉันอายุมากแล้วนะ แต่พี่สาวคนสวยคนนี้ดูท่าทางใจดีมีเมตตามาก ช่วยซื้อหนังสือนิยายของฉันหน่อยได้ไหมคะ อ่านสนุกพร้อมกับเปลี่ยนชะตาได้ด้วยนะคะ” เด็กหญิงหันมาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมกับขายหนังสือทันทีโดยแจกแจงราคาหนังสือแต่ละเล่ม
ฟางซินมองดูเสื้อผ้าเก่ามอซอของเด็กหญิง จึงเชื่อว่านี่เป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อของเด็กน้อยเท่านั้น แต่พนักงานสาวในบริษัทมหาชนรายใหญ่ และยังมีสถานะทางหน้าที่การงานเป็นถึงระดับผู้จัดการฝ่ายการตลาดอย่างเธอก็ไม่ได้คิดมากอะไร เงินเพียงเท่านั้นนับว่าเล็กน้อยมาก
“ถ้าอย่างนั้นพี่เหมาทั้งหมดนี่เลยก็แล้วกัน แล้วเธอจะได้กลับบ้าน เอานี่ไปแล้วไม่ต้องมายืนขายหนังสืออีกแล้วนะ อยู่ตรงนี้อันตรายมาก มีคนมากมายที่เดินผ่าน บางคนก็เป็นคนดี บางคนก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น เพราะ ฉะนั้นรับเงินจากพี่แล้ว รีบกลับบ้านไปเถอะ” หญิงสาวเอ่ยบอกอย่างเป็นห่วงพร้อมกับส่งเงินให้จำนวนหนึ่งซึ่งเกินกว่าราคาที่เด็กน้อยบอกมาพอสมควร
“พี่สาวใจดีเหลือเกิน เอาแบบนี้ก็แล้วกันค่ะ เงินที่พี่ให้มาจำนวนนี้ ฉันยกหนังสือเล่มพิเศษให้เลยก็แล้วกัน เมื่อเทียบกับหนังสือที่วางอยู่บนพื้นทั้งหมด เพียงแค่เล่มนี้เล่มเดียว ก็สามารถทำให้พี่ลืมเนื้อหาด้านในไม่ลงไปชั่วชีวิตเลยเชียวล่ะ” เด็กหญิงรับเงินไปพร้อมกับยิ้มหวาน ก่อนจะส่งหนังสือทั้งหมดให้หญิงสาว โดยวางหนังสือเล่มที่บอกว่าพิเศษไว้บนสุด
“ไม่เป็นไร เธอเอาไว้อ่านเถอะ พี่ไปนะ” หญิงสาวยิ้มและจะเดินจากมา
“ไม่ได้ค่ะ พี่ซื้อแล้วก็ต้องรับสินค้า อย่างนั้นเอาเล่มนี้ไปนะคะ” เด็กสาวพูดจบก็ยัดหนังสือเล่มหนึ่งใส่มือหญิงสาวแล้ววิ่งจากไปพร้อมหนังสือเล่มอื่นๆ ที่เหลือ
เมื่อกลับมาถึงห้องพัก ฟางซินยังอดขำตัวเองไม่ได้ที่เธอกล้ายกเงินร้อยหยวนให้แก่เด็กหญิงไป โดยที่ไม่ได้หยิบหนังสือมาแม้แต่เล่มเดียว นอก จากหนังสือเล่มที่เด็กหญิงยัดใส่มือมาให้ เธอกลับมาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยล้าจากหน้าที่การงาน การประชุมผู้บริหารและวางแผนการตลาดทั้งหมด มีเธอเป็นพวกควบคุมและดูแล อีกไม่นานจะถึงการปิดงบประมาณของบริษัทในไตรมาสสุดท้าย งานในแต่ละวันทั้งหนักและเคร่งเครียดอย่างมาก
หลังจากอาบน้ำเพื่อเรียกความสดชื่นเสร็จ ฟางซินทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับหนังสือ หันไปมองแล้วถึงได้รู้ว่ามันเก่ามากเสียจนคิดว่าหากเปิดแรง อาจจะทำให้มันหลุดขาดออกมา
“จะยังอ่านได้ไหมนะเก่าขนาดนี้ จะสนุกจริงอย่างที่พูดหรือเปล่า” ฟางซินมองหนังสือในมืออย่างไม่แน่ใจ
ความสงสัยทำให้เธอเปิดอ่านหน้าแรก ตามมาด้วยหน้าที่สอง สาม และเปิดอ่านไปเรื่อย ๆ ยังคงไม่ยอมกินข้าวเย็น เธอนั่งอ่านเพลินจนลืมกระทั่งงานที่หอบกลับมาทำที่บ้าน ช่วงเช้ายังคงถือหนังสือเล่มนั้นอ่านติดมือระหว่างเดินทางไปทำงานด้วย
หญิงสาวไม่พอใจกับวิธีการเลี้ยงลูกด้วยระบบบ้านใหญ่บ้านรอง ความหัวเก่าและลำเอียงแสดงออกอย่างชัดเจน จนชวนให้คนอ่านหงุดหงิด
“ย่าหลี่ทำไมถึงได้เป็นคนแก่ที่ไม่มีคุณภาพแบบนี้นะ ความลำเอียงเก็บเอาไว้ ใช้กับลูกชายคนโตบ้างก็ได้นะคะ”
ขณะที่เธอกำลังเดินอ่านหนังสือพร้อมบ่นด้วยความรำคาญใจ ชายรูปร่างสูงซึ่งเดินมาจากที่ไหนสักแห่ง ได้กระแทกเข้าที่ตัวของเธออย่างแรง กระทั่งร่างเล็กกว่าเสียหลักไปยืนอยู่กลางถนน ที่มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง จนไม่สามารถเบรกได้ทันเสียงกรีดร้องจากคนรอบกายดังขึ้นให้ได้ยิน ก่อนทุกอย่างดำมืดลงทันที
รู้สึกตัวอีกครั้ง ฟางซินล่องลอยอยู่กลางอากาศ มองดูร่างกายของตัวเองนอนจมกองเลือดอยู่กลางถนน อุบัติเหตุพรากชีวิตออฟฟิศสาวในวัยเพียงสามสิบเศษๆ
“ไม่นะ ฉันยังไม่ได้แต่งงาน แถมงานที่บริษัทก็ยังมีโพรเจกต์อีกตั้งมากมายที่ยังไม่ได้เสนอ แบบนี้ฉันจะตายตาหลับได้ยังไงกัน ไม่นะ” ฟางซินพูดขึ้นมาอย่างไม่ยินยอม
