แยกบ้าน
เมื่อหลินอวี้เหนียนเห็นว่าสามีเงียบไปและท่าทางคิดหนัก เธอจึงต้องใช้ไม้ตาย และคำว่าหย่าก็เหมือนฟ้าผ่ากลางอกของซ่งอี้เหวิน
ยุคนี้มักจะไม่มีผู้หญิงคนไหนพูดแบบนี้ และที่สำคัญคือผู้หญิงไม่มีสิทธิ์พูด แต่อวี้เหนียนกลับพูดออกมาหน้าตาเฉย ซ่งอี้เหวินจึงยืนมองดูภรรยาของตัวเองที่ทั้งผอม ทั้งเหนื่อย และท่าทางที่แสดงออกชัดเจนว่าท้อแท้ จึงทำให้เขารู้ว่าหล่อนพูดจริง
“ฉันไม่อยากหย่า แต่ถ้าเธออยู่ไม่ไหวจริง ๆ ฉันจะไปคุยเรื่องแยกบ้านกับพ่อแม่ดู”
คำตอบของซ่งอี้เหวินเหมือนก้อนหินที่ถูกวางลงกลางอก หลินอวี้เหนียนไม่ได้ยิ้มออกมา ไม่ได้รู้สึกโล่งใจ แต่แค่เงยหน้าขึ้นมองสามีด้วยสายตาที่แน่วแน่
เธอรู้ว่าการพูดถึงเรื่องแยกบ้านในยุคนี้ไม่ต่างจากการโยนระเบิดใส่ครอบครัวของตัวเอง แต่ถ้าชีวิตมันจะต้องระเบิดจริง ๆ เธอก็ยินดีที่จะเป็นคนจุดชนวนนี้ขึ้นมาเอง
คืนนี้หลินอวี้เหนียนเอาแต่นั่งมองใบหน้าของตัวเองผ่านไฟจากตะเกียง รอยเหี่ยวย่นที่ขอบตาและทั่วทั้งใบหน้าทั้งที่อายุยังไม่ได้เยอะมากนั้น บ่งบอกถึงความลำบากยากเข็ญได้เป็นอย่างดี
เธอคิดถึงเนื้อเรื่องที่ตัวเองเขียนไว้ ผู้เป็นแม่มักจะไม่ค่อยพูดอะไรออกมา และไม่เคยยื่นคำขาด ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามน้ำ สุดท้ายชีวิตของครอบครัวตัวเองถึงได้จบลงไม่สวยนัก
แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่แม่ที่ยอมให้ชีวิตเดินไปตามเรื่องที่เขียนไว้อีกแล้ว ถ้าชีวิตมันเขียนใหม่ได้ เธอก็จะเขียนใหม่ตั้งแต่ตอนนี้เลยและเธอจะกำหนดตอนจบที่สมบูรณ์ให้กับตัวเองและครอบครัว
ซ่งอี้เหวินไปคุยกับพ่อและแม่ในเช้าวันต่อมาทันที ซึ่งทุกอย่างกลับผิดคาด เขานึกว่าจะถูกต่อว่าและขับไล่ หรือไม่ก็ต้องมีใครสักคนร้องไห้ขอให้เปลี่ยนใจ แต่เปล่าเลย ทุกอย่างจบลงง่ายกว่าที่คิด
“แยกก็แยก”
กึก!
พ่อของเขาพูดพร้อมกับวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ มีเพียงเสียงของไม้กระทบไม้ ไม่มีเสียงคัดค้าน ไม่มีคำถามให้มากความ แค่ถอนหายใจแล้วก็บอกให้ไปเก็บของทันที
ซ่งอี้เหวินได้เงินติดมือมานิดหน่อยแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เมื่อเก็บของเสร็จเขากับภรรยาก็พาลูกทั้งสามคนย้ายออกไปอยู่บ้านร้างท้ายหมู่บ้าน ซึ่งบ้านหลังนี้มีขนาดเล็กมาก แต่ก็เพียงพอสำหรับคนห้าคนอยู่อาศัยได้
ห้องนอนถูกใช้เป็นที่เก็บของเสียจนเหม็นอับ ต้องปูเสื่อบนพื้นกลางบ้านแล้วกั้นม่านบาง ๆ พอเป็นสัญลักษณ์ว่านี่คือที่นอนไปก่อน
หลินอวี้เหนียนมองดูของในบ้านที่มันน้อยเสียจนพูดไม่ออก เสื้อผ้าเก่าๆ ที่ขนมากระสอบข้าวสารถุงเดียวกับไข่ไก่อีกห้าฟอง เธอไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้เสียใจ แต่รู้ดีว่าจากนี้ไปต้องเหนื่อยกว่าที่เคยเป็นอย่างแน่นอน แต่ชีวิตต่อไปนี้จะต้องมีความหวังมากกว่าอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ที่ไม่มีอิสระ
และหลังจากที่ช่วยกันเก็บกวาดบ้านจนเสร็จ หลินอวี้เหนียนก็ตัดสินใจจับมือ ซ่งอวี้เสียน ลูกสาวคนโตอายุ 14 ปี ที่มีนิสัยสุภาพ อ่อนโยน แต่แฝงด้วยความเข้มแข็งในใจ เดินเข้าป่าไปเพื่อหาของกิน
เพราะจากเนื้อหาที่เธอเขียนไว้ เธอจำได้ว่ามีป่าอยู่ไม่ไกล ปล่อยให้สามีกับลูกชายอีกสองคนช่วยกันซ่อมแซมบ้านไปก่อน
“เราไปป่ากันเถอะอวี้เสียน”
“เราจะไปหาของกินกันเหรอแม่”
“ใช่แล้ว ไปดูว่ามีอะไรที่พอจะเก็บมากินได้บ้าง”
หลินอวี้เหนียนตอบเรียบ ๆ ลูกสาวก็พยักหน้า เธอไม่รู้เหมือนกันว่าการเข้าป่าในครั้งนี้จะได้อะไรมากแค่ไหน แต่รู้ว่าถ้าไม่เริ่มหาตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้อาจจะไม่มีอะไรกินเลยก็ได้
หลังจากที่ทั้งสองเดินเข้าป่าไปได้สักพัก หลินอวี้เหนียนก็รู้สึกว่าทางนี้น่าจะมีแหล่งที่อุดมสมบูรณ์อยู่ไม่ไกลนัก เธอจึงพาลูกสาวคนโตเดินเลาะไปตามลำธารเล็ก ๆ ที่มีน้ำไหลเอื่อย ๆ ใสจนเห็นปลาตัวเล็ก ๆ ว่ายไปมา
“แม่พอจะจับปลาได้ไหม”
ลูกสาวถามตาเป็นประกาย หลินอวี้เหนียนพยักหน้าแล้วหยิบกิ่งไม้แหลมขึ้นมาเตรียมพร้อม แต่ตอนที่เธอใช้มือจับกิ่งไม้กลับพลาดไปเกี่ยวกับก้อนหินเล็ก ๆ ที่อยู่ริมลำธาร ทำให้เลือดที่นิ้วมือของเธอไหลออกมาเป็นเส้นบาง ๆ
