นักเขียนที่ถูกสาปแช่ง 2
หลายวันมานี้เธอกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายจึงประท้วง หมอบอกว่าอาการป่วยของเธอในครั้งนี้มีสาเหตุมาจากภาวะเครียดเรื้อรังที่สะสมมานาน
หลังจากนั้นหลินอวี้เหนียนก็ไม่ได้แตะคีย์บอร์ดอีกเลย ทั้ง ๆ ที่การเขียนเป็นที่พึ่งเดียวในชีวิต เธอนอนซมอยู่ในห้องเล็ก ๆ โทรศัพท์ปิดเงียบ แม้กระทั่งบัญชีนักเขียนก็ถูกตั้งเป็นโหมดพักงาน
จนกระทั่งคนที่เคยติดตามเริ่มหายไปทีละคน จากหลักหมื่นเหลือเพียงไม่กี่พัน จากคอมเมนต์ทุกวัน กลายเป็นห้องนิยายที่เงียบร้าง เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า จนกระทั่งครบสองปีเต็ม
สองปีที่ผ่านมาหลินอวี้เหนียนเคยคิดจะเลิกเขียนนิยายแล้วจริง ๆ จะออกไปหางานประจำทำ และจะเลิกยุ่งกับวงการนี้ไปเลย แต่สุดท้ายวันนี้เธอก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง
วันที่เธอหายดี วันที่ไม่มีไข้ วันที่หยิบคีย์บอร์ดมาปัดฝุ่น เธอกลับมานั่งตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ด้วยนิ้วมือที่สั่นนิดหน่อยจากความประหม่า และหัวใจที่เต้นแรงเหมือนกำลังจะร้องไห้ ทั้งที่น้ำตาก็แห้งเหือดไปนานมากแล้ว
“กลับมาแล้วนะ”
เสียงของหลินอวี้เหนียนเบาจนแทบไม่ได้ยิน เธอจะเขียนนิยายอีกครั้ง เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่เธอรักมากที่สุด
หลินอวี้เหนียนตั้งใจจะแต่งนิยายเรื่องเดิมต่อให้จบ ซึ่งเป็นนิยายเรื่องเดิมที่เคยถูกถล่ม เป็นเรื่องของครอบครัวเล็ก ๆ ในหุบเขาทางใต้ มีแม่บ้านคนหนึ่งที่มีสามีที่ขยันมาก แต่ไม่เคยกล้าที่จะปกป้อง ลูก ๆ ที่ต้องโตมาในบ้านที่ไม่มีใครรักใครจริง
ญาติพี่น้องเอาเปรียบ กินอยู่รวมกันแบบอัดแน่น แต่แม่ในเรื่องก็ยังพยายามยิ้มและประคองครอบครัวให้ไม่พัง
ความตั้งใจของหลินอวี้เหนียนแน่วแน่มาก แต่ทว่าเมื่อเธอก้มลงเสียบปลั๊กคอมพิวเตอร์ เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น…
เปรี๊ยะ!
เสียงไฟช็อตดังขึ้นพร้อมกับประกายไฟวาบ ร่างเล็กที่มือจับสายไฟอยู่ถึงกับกระตุกสั่นอยู่นานเกือบนาที จนกระทั่งใบหน้าฟุบลงกับโต๊ะ และหัวใจก็หยุดเต้นอย่างทันที หลังจากนั้นทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ปล่อยนะ!”
“ไม่ปล่อย นี่มันขนมของฉัน!”
ปึง! ปัง!
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่เมื่อเปลือกตาบางเปิดขึ้นมาก็เห็นหลายอย่างที่ไม่เหมือนเดิม พร้อมกับเสียงวุ่นวายเหมือนอยู่ที่ตลาด ความรู้สึกเหมือนคนที่กำลังหลับอยู่แล้วถูกรบกวน
“เงียบกันหน่อยได้ไหม!”
ด้วยความหงุดหงิดหลินอวี้เหนียนจึงอ้าปากพูดออกไป แต่ทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับไม่ใช่เสียงของตัวเองที่คุ้นเคย นี่มันเหมือนเสียงของหญิงวัยกลางคนมากกว่า
เธอจึงรีบลืมตาขึ้นอย่างเต็มตาด้วยความตกใจ ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นแล้วก้มมองมือทั้งสองข้างของตัวเองที่มันหยาบกระด้างจนผิดแปลกไปจากเดิมมาก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับกระจกตรงหน้าที่กำลังสะท้อนเงาของหญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้าโทรม ๆ คล้ายกับทำงานหนักมาทั้งชีวิต
‘นะ นี่มันไม่ใช่ฉัน…’
หลินอวี้เหนียนรู้ได้ทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องเขียนนิยายของเธอ ไม่มีโต๊ะทำงาน ไม่มีคีย์บอร์ด ไม่มีแสงไฟจากจอคอมพิวเตอร์ ไม่มีไฟ ไม่มีปลั๊ก ไม่มีโทรศัพท์มือถือ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือบ้านเก่าและโทรม เด็กผู้หญิงตัวเล็กกำลังนั่งร้องไห้ตรงมุมห้องเพราะโดนแย่งขนม
“แง๊ ๆ”
สิ่งรอบตัวทำให้หลินอวี้เหนียนสะอึกไปทันที น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับความคิดมากมายในหัว
‘ฉันอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ทำไมทุกอย่างมันเหมือนกับนิยายที่ฉันเขียนไม่มีผิด บ้านหลังเล็กในหุบเขาใต้ แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…’
หลินอวี้เหนียนสับสน เธอคิดทบทวนว่าก่อนที่ตัวเองจะล้มฟุบกับโต๊ะไปนั้นมีเสียงไฟช็อตดังขึ้น แล้วหลังจากนั้นเธอก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย จนกระทั่งตื่นขึ้นมาอยู่ที่นี่
เวลานี้หัวใจของหลินอวี้เหนียนเต้นแรงจนจะแทบระเบิด มันไม่ใช่แค่นิยาย แต่มันคืออดีตของเธอเอง อดีตที่เธอลืมหรืออาจจะไม่เคยรู้ว่ามันคือเรื่องจริง เพราะเธอเขียนมันออกมาแบบไม่มีสาเหตุ เขียนจากความรู้สึกข้างในที่อธิบายไม่ได้
