4.2
ปรมาจารย์มู่ลี่คลี่ยิ้มบางเบา อย่างคนนึกถึงอดีต
“เพลงนี้มีนามว่า หลงผิดเมื่อรู้ก็สายเกินไป เจ้าค่ะ แต่มิใช่ท่านแม่ประพันธ์แต่เป็นข้าน้อยเองเจ้าค่ะ”
“หือ เจ้าเองรึ โอ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเสียจริง เพลงของมารดาเจ้าถูกยกย่องค้างฟ้าหาได้มีเซียนพิณคนใดแซงหน้าได้ ทว่ามาวันนี้กลับถูกบุตรีของตนเองนำไปหน้าไปเสียแล้ว”
รอยยิ้มชอบใจปรากฏขึ้นเต็มหน้าปรมาจารย์มู่ลู่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีจอมนิ่ง นางไม่ออกเรือน ตั้งตนเป็นเซียนพิณที่เฟ้นหาลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์มาอบรม มาวันนี้แย้มยิ้มราวคนมีอารมณ์ขันเสียอย่างนั้น
หลิงฟางก้มหน้าเล็กน้อยแสร้งมีท่าทีเขินอายกับคำชม ในใจนางนั้นดีใจกว่าใครยิ่ง ดูจากท่าทางของคนตรงหน้านั้น
ติดกับเข้าแล้ว ความเอ็นดูต่อหลิงฟางถูกเผยออกมาไม่ปิดบัง
“เพลงที่คุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่บรรเลงเมื่อครู่ ข้าเองยังไม่มั่นใจเลยว่าจะบรรเลงได้ลึกซึ้งเยี่ยงนั้นไม่ ไว้คราหลังเรามาแลกเปลี่ยนทำนองกันนะ ไว้ข้าจะส่งเทียบเชิญไปแจ้งสถานที่”
“เอ่อ เรื่องนั้นข้าต้องถามฮูหยินรองก่อนเจ้าค่ะ ว่าจะอนุญาตไหม”
“หือ อย่างนั้นหรือ?”
เอาล่ะ ช่วงเวลานี้คือเวลาทองของนางแล้ว!
หลิงฟางตั้งใจบอกว่าต้องถามฮูหยินรอง มิใช่บอกว่าต้องถามท่านพ่อ เพราะอยากให้ปรมาจารย์มู่ลี่เอะใจอะไรบางอย่างนั่นแหละ แล้วยิ่งหลิงฟางยกมือบิดชุดแสนธรรมดาเพื่อให้คนตรงหน้าสังเกตและนำไปวิเคราะห์ต่อเอง
คิดดูสิ คุณหนูใหญ่ของจวนอันเกิดจากฮูหยินเอกไยต้องขออนุญาตฮูหยินรองด้วย! แม้นมารดาตายไปและฮูหยินรองดูแลจวนแล้วอย่างไร? เพราะหลิงฟางใช้คำว่าขออนุญาต มิใช่บอกกล่าวอย่างไรเล่า
นั่นหมายความว่ามีเรื่องผิดแปลกบางอย่างน่ะสิ
“ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินรองไม่ค่อยอนุญาตให้ข้าออกไปด้านนอกเท่าใด นางบอกว่าเป็นห่วงอาการป่วยของข้า”
หลิงฟางใช้คำว่า นางบอกว่า ซึ่งใครฟังก็รู้ว่าเจ้าตัวคนพูดมิได้เห็นด้วยเลย
โดยใครที่ฟังนั้นไม่ได้มีแค่ปรมาจารย์มู่ลี่แน่ ๆ พวกนางทั้งสองคนพูดคุยในที่สาธารณะ และเป็นจุดสนใจมากกว่าการแสดงบนเวทีด้วยซ้ำ
อีกสาเหตุหนึ่งที่หลิงฟางเลือกใช้สตรีตรงหน้าเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นคงก็เพราะ นางรู้มาว่าในอดีตปรมาจารย์มู่ลี่ก็เคยมีชะตากรรมเยี่ยงเดียวกับนาง หากเห็นคุณหนูใหญ่ถูกผู้เป็นเมียน้อยกระทำอย่างเช่นตนคงร้อนรนและเห็นใจมากกว่าคนธรรมดาเป็นสิบเท่า
ปรมาจารย์มู่ลี่นั้นรับสารทุกอย่างจากหลิงฟางและเข้าใจได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ ทำให้ตอนนี้สายตาไม่พอใจถูกส่งไปยัง
เยี่ยนจือเป็นที่เรียบร้อย จนคนถูกกล่าวถึงต้องรีบมาร่วมวงสนทนาเพื่อแก้ข่าวโดยพลัน
“อา คุณหนูใหญ่ก็พูดเกินไปเชียว หากเป็นท่านปรมาจารย์มู่ลี่ส่งเทียบเชิญข้าต้องให้ไปอยู่แล้ว แหะ ๆ ทว่าต้องดูก่อนว่าเจ้าร่างกายดีหรือไม่ในตอนนั้น”
ทำเป็นพูดดีไป หากหลิงฟางได้เทียบเชิญจริง นางไม่ป่วยก็คงถูกทำให้ป่วยนั่นแล
“ถึงข้าป่วยข้าก็จะไปให้ได้เจ้าค่ะ ฮูหยินรองมิต้องกังวลแทนข้า”
เยี่ยนจือที่มายืนข้างหลิงฟางแอบสอดมือเข้าไปหยิกเนื้อเพื่อห้ามปรามอย่างแนบเนียนแล้ว หากเป็นปรกติหลิงฟางต้องหยุดทุกสิ่งอย่างแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“โอ๊ย ท่านหยิกข้าทำไมหรือ?”
ไม่พูดเปล่ายกแขนที่มีรอยแดงช้ำขึ้นมาแสดงแก่คนรอบข้างได้เห็น สายตาทุกคนล้วนจ้องมองเยี่ยนจือด้วยอารมณ์เดียวกัน
ไม่ว่าจะจนหรือรวย สิ่งที่ทุกคนไม่เห็นด้วยอย่างมาก ก็คือการที่ เมียน้อยรักแกลูกเมียเอก ! อย่างที่ตอนนี้เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขา
“อา ข้าเพียงอยากสัมผัสกายคุณหนูใหญ่เพื่อวัดความร้อนในกายเท่านั้น แต่คงจับแรงไปเสียหน่อย นี่กายเจ้ายังร้อนอยู่เลย ไข้เพิ่งหายแต่เหมือนจะเริ่มกลับมาเสียแล้ว เดี๋ยวข้าพาเจ้ากลับก่อนดีกว่า”
ทั้งลูบหัวแสดงความอ่อนโยน ทั้งช่วยพยุงอย่างทะนุถนอม ท่าทางเหล่านี้ทำให้ผู้คนพอคลายความข้องใจลงบ้างแต่ไม่หายไปทั้งหมด
แม้นหลิงฟางจะไข้เริ่มกลับอย่างที่เยี่ยนจือบอก แต่นางไม่ยอมให้สิ่งที่ปูมาทั้งหมดไร้ค่าเพียงเพราะร่างกายของตนเองหรอก
ความขุ่นข้องนี้เกิดขึ้นในใจทุกคนแล้ว เพียงแต่มันยังไม่มากพอ!
“ขอบคุณฮูหยินรองเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้ามาแล้วก็ขออยู่รอจนจบก่อน มิได้หรือเจ้าคะ?”
เพื่อให้ทุกคนมองเยี่ยนจือเป็นฮูหยินรองผู้ทรงคุณธรรม แน่นอนว่าเยี่ยนจือต้องพยักหน้ายอมให้ไป ทั้งที่ในใจร้อนรุ่มอยากรีบกลับไปจัดการคนสร้างเรื่องตรงหน้าแทบใจขาดดิ้น!
“พี่ใหญ่อย่าดื้อกับท่านแม่เลยเจ้าค่ะ นางเป็นห่วงท่านจากใจจริง”
หลิงเจินที่มองสตรีน่าตายมานานอดทนอดกลั้นจนแทบคลั่ง นางทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว อยากให้หลิงฟางกลับจวนไปเสียให้พ้นจากสายตาตน เมื่องานจบเมื่อใดนางจะรีบกลับไปจัดการเสียให้ไม่กล้าทำเกินที่สั่งเยี่ยงนี้อีก!
“โอ อย่างนั้นหรือ อย่างนั้นเจ้าก็ต้องกลับด้วยสิ น้องรองในเมื่อไข้นี้ข้าได้จากตอนที่เราไปเดินชมสระบัวด้วยกันเมื่อวานนี้”
หลิงเจินขมวดคิ้วมุ่นนิ่งคิดถึงคำพูดหลิงฟาง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้นำเรื่องเมื่อวานขึ้นมาพูด มันดูไม่เกี่ยวข้องอันใดเสียหน่อย
“อ้อ ข้าลืมไปว่าน้องรองไม่ได้ตกไปในสระบัวเหมือนข้า ก็คงไม่ป่วยอันใด ทำเอาข้าเกือบมิได้มาร่วมเทศกาลซีซีเลยเชียวเพราะเจ้าชวนข้าไปเมื่อวาน”
“น่ะนั่น...”
เยี่ยนจือที่รู้ก่อนใครในเจตนาของหลิงฟางจึงรีบเข้ามาเอ่ยขัดก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้
“โอ พวกเราไปนั่งเถิด บนเวทีกำลังจะประกาศผู้ชนะแล้ว”
เยี่ยนจือรีบดึงบุตรีสาวของตนไปนั่ง และเมียงมองมาทางหลิงฟางกับปรมาจารย์มู่ลี่นั่งอยู่เป็นครั้งคราว
