5.1
“คุณหนูใหญ่อยากให้ข้าช่วยอันใดหรือไม่?”
มู่ลี่เอ่ยถามเสียงไม่ดังมาก ซึ่งตรงใจหลิงฟางพอดีเชียว
“ขอบพระคุณปรมาจารย์มู่ลี่เจ้าค่ะ เรียกนามข้าก็ได้นะเจ้าคะ”
“อืม งั้นข้าเรียก หลิงฟางแล้วกัน”
“งั้นข้าขอเรียกท่านว่า ท่านมู่ลี่นะเจ้าคะ” หลิงฟางได้รับอนุญาตเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมา
“ไม่รบกวนท่านมู่ลี่มากเจ้าค่ะ เพียงท่านช่วยเชิญข้าออกมาสักในอีกเจ็ดวันข้างหน้าก็พอ ที่เหลือข้าจะจัดการเองเจ้าค่ะ”
หากมู่ลี่ยอมช่วยนาง เพียงเท่านั้นสองแม่ลูกนั่นก็จะไม่กล้าทำอันใดนางอย่างแรงถึงชีวิต จนกว่าจะพ้นวันนัดแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็จะเป็นวันที่แม่ทัพใหญ่ซุนเหวินเชากลับเมืองหลวงมา พอเรื่องสมรสพระราชทางถูกประกาศ พวกคนตระกูลหลี่ย่อมต้องทะนุถนอมหลิงฟางแม้ไม่เต็มใจนั่นแหละ
ระหว่างนี้หลิงฟางย่อมจัดการตอบแทนคุณคนตระกูลหลี่ให้สาสมที่ดูแลนางมาอย่างดี...
หลังจากประกาศผู้ชนะในการประชันความสามารถว่าเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่แล้ว กลุ่มสตรีตระกูลหลี่ก็พากันกลับทันที แกนนำคือคุณหนูรองผู้ที่บนใบหน้าฉายชัดว่าแสนจะไม่พอใจ
โดยก่อนกลับนั้น ปรมาจารย์มู่ลี่ได้มาย้ำว่าจะส่งเทียบเชิญให้หลิงฟางต่อหน้าเยี่ยนจือ และพูดท่ามกลางกลุ่มคนทั่วไปด้วยเช่นกัน
หลิงฟางต้องขอบคุณคำพูดที่สมเป็นปรมาจารย์มู่ลี่ผู้แสนจะเข้มงวดและเป็นที่ยกย่องแม้แต่ฮองเฮาผู้เป็นสหายก็เคยเอ่ยยอมแพ้ในเรื่องคำพูดเฉียบคมดุจมีดกรีดอก ปรมาจารย์มู่ลี่ทำเกินกว่าที่ฟลิงฟางขอมาก นางทั้งเอ่ยดักหน้าไม่ให้เยี่ยนจือทำร้ายหลิงฟางได้ ทั้งเอ่ยยกยอจนนับแต่นี้หลิงฟางคงกลายเป็นม้ามืดชิงตำแหน่งคุณหนูผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งไปแล้ว
ขากลับหลิงฟางขอไปนั่งรถม้ารวมกับคุณหนูสามเพราะเห็นอาการกักเก็บอารมณ์โกรธของสตรีสองนางแล้วก็แอบหวั่นใจอยู่เหมือนกัน พอถึงจวนตระกูลหลี่ก็แยกตัวกลับเรือนหลังอันซอมซ่อไปทันที เพราะร่างกายนี้ทนมาจนแทบจะไม่ไหวแล้ว ผิวกายร้อนระอุไม่สบายตัวอย่างยิ่ง ดีที่อาการปวดหัวไม่มากจนถึงไม่ได้สติ
“ฟางเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ?”
เสียงทุ้มเบาแต่แอบแฝงความไม่พอใจ โดยหลิงฟางสังเกตได้อยู่หนึ่งส่วน
บุรุษตรงหน้านี้เป็นองค์ชายรองจ้าวรุ่นเหยียนมายืนพิงกำแพงทางเข้าเรือนของหลิงฟางไว้นั่นเอง
ครานี้หลิงฟางจะเลี่ยงอีกก็คงไม่ได้แล้ว...
“คารวะองค์ชายรองเพคะ พระองค์มีเรื่องอันใดถึงมาหาหม่อมฉันแต่ดึกดื่นเพคะ”
หลิงฟางก้มหน้าลงไม่อยากมองใบหน้าอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยนั่น ลับหลังนางไปไม่รู้เขาเอานางไปไว้ที่ตำแหน่งใด บางทีอาจจะต่ำกว่านางกำนัลในตำหนักของเขาด้วยซ้ำไป
“ข้าเป็นห่วงฟางเอ๋อร์นั่นแล เจ้าป่วยหนักจนออกมาพบข้าไม่ได้แท้ ๆ แต่กลับขึ้นไปแสดงบนเวทีได้นานนับเค่อ ข้าจึงมาเพื่อดูแลเจ้าอย่างไรเล่า”
หากเป็นชาติก่อนหลิงฟางต้องเขินจนหน้าแดงใจเต้นแรงกับคำพูดที่บอกว่าเป็นห่วงนี้ไปแล้ว แต่พอเป็นตอนนี้นางกลับรับรู้ได้ถึงความนัยน์ที่แฝงในคำพูดอันแสนประชดประชัน ชัดเจนจนคิดกลับไปว่าชาติก่อนนางช่างโง่งมจนตัวเองรับไม่ไหวเสียจริง
“ขอบพระทัยองค์ชายรองมากเพคะ ที่ทรงเป็นห่วงคนต่ำต้อยเยี่ยงหม่อมฉัน แล้วก็เรื่องยาและอาหารด้วยเพคะ”
หลิงฟางยังก้มหน้ายืนอย่างนอบน้อมและดูห่างเหินกว่าปรกติจนรุ่นเหยียนไม่ชอบใจ ตั้งแต่เมื่อช่วงกลางวันนางปฏิเสธการมาพบเขาคราแรก อีกทั้งกล้าปะทะกับคนตระกูลหลี่ตรง ๆ ก็แล้ว ทั้งหมดนี่ล้วนแปลกตาไปเสียหมด
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกวูบโหวงในใจราวกำลังจะสูญเสียสิ่งบางอย่างไปจากความควบคุมของตนอย่างไรอย่างนั้น
มือเรียวยาวถูกยกขึ้นมาเชยคางของสตรีตรงหน้าขึ้นให้มองสบตาตน ในวาบแรกที่สัมผัสตัวของฟลิงฟางเขาแทบอยากถอนมือออกทันใดนั้นเลย เพราะสัมผัสผิวนางแล้วมันช่างร้อนลวกมือ นั่นแสดงว่านางมิได้ปดเขาว่าเป็นไข้แต่อย่างใด ทว่าพอรุ่นเหยียนได้สบตากับนางก็พลันมีความตระหนกวาบขึ้นมาชั่วครู่
...เขาเหมือนเห็นประกายตาต่อต้านของหลิงฟาง แต่เมื่อมองอีกรอบกลับไม่มีแล้วเสียอย่างนั้น แววตาอ่อนล้าและหลงใหลยังแสดงเหมือนเดิม
หรือหากหลิงฟางคิดจะต่อต้านเขา รุ่นเหยียนคนนี้ก็ไม่คิดจะปล่อยไปง่าย ๆ เมื่อนางจะไปเขาก็จะดึงกลับมาก็เท่านั้นเอง...
“วันนี้ฟางเอ๋อร์ของข้าเก่งกาจและงดงามมาก ข้าต้องให้รางวัลคนเก่งหน่อยแล้ว”
พูดจบก็ย่อลงอุ้มหลิงฟางขึ้นมาแนบอก คนถูกอุ้มโดยไม่ทันตั้งตัวก็ดิ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อตั้งตัวได้ก็ยกมือคล้องคอและมุดใบหน้าแนบแผงอกของรุ่นเหยียนแทน
บุรุษในชุดหรูหราเดินเข้าเขตเรือนของเจ้าของได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจอันใด ใช้เวลาไม่ถึงเค่อก็ถึงเรือนนอนที่มีเหม่ยฮวายืนรออยู่ก่อนหน้า เขาสามารถอุ้มหลิงฟางเข้าห้องไปได้เพราะเจ้าของห้องไม่เอ่ยปฏิเสธอันใด จะว่าไปแล้วครานี้ก็เป็นคราแรกที่รุ่นเหยียนเข้ามาถึงห้องนอน และก็เป็นคราแรกอีกเช่นเดียวกันที่เขาถึงเนื้อถึงตัวสตรีในอ้อมอกที่เขามักแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างหลิงฟาง
ก็เขาบอกแล้วอย่างไร ว่าหากของของเขาคิดหนี เขาก็จะดึงกลับมาให้ได้!
“ข้าให้บ่าวไปต้มยาแล้ว หากเจ้าง่วงก็นอนหลับตาก่อนเถิด”