บท
ตั้งค่า

4.1

ก่อนถึงการแสดงของหลิงเจิน นางแอบให้เหม่ยฮวาเดินไปยังโต๊ะลงทะเบียนและขอเปลี่ยนการแสดงเรียบร้อย ฉะนั้นเมื่อถึงลำดับของหลิงฟาง คนของสำนักจึงเตรียมพิณหลังหนึ่งไว้บนเวที รอให้หลิงฟางขึ้นไปเริ่มการแสดงเรียบร้อย

“เดี๋ยวนะ เจ้ามิได้ลงไว้ว่าปักผ้าหรอกหรือ?”

มือข้างหนึ่งของหลิงฟางถูกเยี่ยนจือรั้งไว้พร้อมกระซิบถามนางเสียงเบา

“หากฮูหยินรองมีอันใดกล่าวก็ขอให้หลังจากข้าแสดงเสร็จเถิด ผู้คนส่วนใหญ่รอการแสดงข้าอยู่”

หลิงฟางสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุมก็เดินตรงขึ้นไปบนเวทีทันที ชายหญิงที่มาชมการแสดงล้วนเปิดบทสนทนากันอย่างอึ้งอือ โดยประเด็นก็คงไม่พ้นคุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่ที่เก็บตัว อย่างนางนั่นเอง

“โอ นี่หรือคุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่ ตอนแรกที่ข้าเห็นในกลุ่มเหล่าคุณหนูตระกูลหลี่ ข้านึกว่านางคือบ่าวรับใช้เสียอีก”

“ไม่ผิด ดูสิไยนางถึงได้ผอมแห้งกว่าเด็กบ้านข้าเสียอีกเล่า หรือว่าเป็นลูกชังของราชครูหลี่กัน”

“ไม่ใช่หรอก ข้าเคยได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้ตรอมใจตั้งแต่ฮูหยินเอกเสียไปแล้ว ป่วยบ่อยครา ร่างกายผอมบางก็ไม่ประหลาดเท่าใดนักกระมัง”

“โอ จริงข้าก็เหมือนเคยได้ยิน ดูเหมือนว่าตามจริงนางเกือบตายไปหลายคราแล้ว แต่เพราะฮูหยินรองของจวนดูแลดีจึงได้อยู่รอดมาจนป่านนี้ ข้าว่าหากไม่ใกล้เป็นสาวเทื้อคุณหนูใหญ่ผู้นี้ก็คงไม่ออกมาเปิดตัวหรอก!”

หลิงฟางฟังที่ชาวเมืองพูดกันก็จำต้องอดทนไม่แสดงอารมณ์กรุ่นโกรธออกไป สองแม่ลูกนั่นล้วนสร้างภาพคนดีให้ตน ส่วนอันใดไม่ดีก็โยนให้หลิงฟางหมดสิ้น สามารถพลิกดำเป็นขาวได้เก่งกาจเกินใครเสียจริง

เอาล่ะตอนนี้หลิงฟางต้องมีสมาธิกับการบรรเลงพิณตรงหน้านี้ ตอนนางเดินขึ้นมาก็รับรู้ได้ว่าองค์ชายรองมองมาอย่างนึกฉงน เขาคงไม่คิดว่าคนที่บอกว่าป่วยหนักจะสามารถเดินขึ้นมาแสดงได้กระมัง เหอะ!

หลิงฟางหลับตาลงนั่งนิ่งหน้าพิณราวครึ่งก้านธูปจึง

ค่อย ๆ ยกมือขึ้นวางบนสายพิณเริ่มบรรเลงเพลงในหัว...

ท่วงทำนองเฉื่อยชาแต่ฟังรื่นหูช่วยพาจิตใจให้คล้อยตามง่าย จากนั้นจังหวะค่อยเร็วแรงขึ้นพอดึงอารมณ์คนให้เต้นรัวไปจนเกือบถึงขีดสุดก็ค่อยผ่อนลงกลายเป็นทำนองโศกเศร้า...

เพลงนี้ผู้ประพันธ์คือหลิงฟางเอง นางค่อย ๆ ร้อยเรียงมาจากชีวิตขอองตนเองในชาติก่อน และมาแต่งเพิ่มในช่วงจบก็ตอนนี้เองนั่นแล

ช่วงจบของเพลงจึงเต็มไปด้วยท่วงทำนองเศร้าหมองลึกซึ้งและดูดดึงคนฟังให้หลงเข้าไปในเรื่องราวที่นางต้องการจะถ่ายทอด พอหลิงฟางบรรเลงจบผู้ฟังแทบจะทุกคนล้วนน้ำตาไหลอย่างไม่รู้ตัว จวบจนหลิงฟางลุกขึ้นคารวะเตรียมลงจากเวทีนั่นแหละพวกเขาจึงหลุดออกจากภวังค์นั่นได้

ก่อนนางลงถึงพื้นก็ได้รับเสียงปรบมือดังสนั่นแบบที่ไม่มีใครต้องปรบนำ แต่ทุกคนล้วนปรบเพื่อแสดงถึงความชมชอบและยกย่องเพลงพิณเมื่อครู่จากใจจริง

อา หลิงฟางก็อยากยืนรับเสียงปรบมือบนเวทีแหละ แต่ติดว่านางใช้พลังกายที่มีอยู่น้อยนิดจากการเพิ่งฟื้นไข้ไปแล้วน่ะสิ ขืนยืนนานกว่านั้นได้เป็นลมหมดสภาพกันพอดี

แน่นอนว่าเพื่อรักษาพลังงานในร่างกายนางเดินเลี่ยงมานั่งข้างหลิงเสีย คุณหนูสามตระกูลหลี่ ที่อายุเพียงสิบสามปีแต่มาเข้าร่วมเทศกาลซีซีนี้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว

หลิงฟางตั้งใจหลบเลี่ยงสองแม่ลูกนั่นแล นางขอเก็บพลังงานในกายไว้รอบุคคลผู้หนึ่งที่อีกไม่นานต้องรีบเดินมาหาตนแน่

นู่นอย่างไร ในปลายสายตามีสตรีนางหนึ่งเดินอย่างเร่งรีบมาทางกลุ่มสตรีตระกูลหลี่นั่งอยู่แล้ว

“โอ นั่นหลิงเจิน นั่นปรมาจารย์มู่ลี่นี่นา ท่านเดินมาทางนี้มาหาเจ้าแน่เลย”

หลิงเจินรีบจัดชุดของตนและยืดคอเชิดหน้าทันที ทว่าเมื่อปรมาจารย์มูลี่มาถึงกลับไม่แม้แต่จะชายตามองไปทางหลิงเจิน สตรีวัยกลางคนในชุดสีกรมหยุดยืนที่หน้าหลิงฟางก่อนเอ่ยปาก

“เจ้าเป็นบุตรีของหยางฟางเหมยกระมัง”

หลิงฟางแม้นเตรียมการมาแล้วก็ไม่คิดว่าจะยังมีคนจำแซ่และนามของท่านแม่ตนเองได้แม่นยำเพียงนี้จึงแอบมีตกใจบ้าง แต่นางก็พยักหน้ารับอย่างนอบน้อมไม่ถือตัวอวดเบ่ง

“เจ้าคะ ท่านรู้จักท่านแม่ด้วยหรือ เป็นเกียรติยิ่งเจ้าค่ะ”

เรื่องนี้ในชาติก่อนหลิงฟางไม่เคยรู้เลย นางต้องการใช้เพียงประโยชน์จากความหลงใหลในศาสตร์ด้านพิณของสตรีตรงหน้าเท่านั้น เมื่อหลิงฟางได้ตัดสินใจบรรเลงพิณด้วยทักษะที่มีแทบทั้งหมดนั้นก็เพื่อดึงดูดให้ปรมาจารย์มู่ลี่เข้าหา

เพราะหลังจากนี้ข่าวลือเรื่องความไร้สามารถของคุณหนูใหญ่หลี่จะจะหมดไปเพราะได้รับการรับรองจากคนผู้นี้ อีกทั้งปรมาจารย์มู่ลี่ก็มีเส้นสายโยงใยไปถึงฮองเฮาด้วย กลับมาชาตินี้หลิงฟางวางแผนไว้ว่านางจะขออยู่ฝ่ายตรงข้ามกับองค์ชายรองเสีย และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งนั่นเอง

“มารดาเจ้าดีดพิณเป็นเลิศ ข้าเคยได้รับการชี้แนะจากนางบ้างก่อนที่นางจะออกเรือนน่ะ ทักษะนี้นางสอนเจ้าเองใช่หรือไม่”

หลิงฟางพยักหน้ารับคำ

“แต่ข้าไม่ยักรู้ว่านางประพันธ์เพลงนี้ด้วย เก็บเป็นความลับได้ดีจริงเชียว”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel