ตอนที่ 4 : เฝ้าดูด้วยความรู้สึกผิด และการเริ่มต้นใหม่ในร่างที่ไม่คุ้นเคย
หลังจากที่ไท่อีหมอหลวงเข้ามาทำแผลให้หวังหยู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศในห้องก็ตกอยู่ในเงียบ หลี่หยางยืนอยู่ข้างเตียงของหวังหยู่ มองดูใบหน้างดงามที่ยังไร้สติที่เต็มไปด้วยความซีดจาง และผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะทุยอย่างแน่นหนาเพื่อห้ามเลือด
“พระชายาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ กระหม่อมได้ทำการรักษาและห้ามเลือดเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บลึกถึงกะโหลก ประเดี๋ยวกระหม่อมจะคอยเฝ้าดูอาการของพระชายาอย่างใกล้ชิดเองพะยะค่ะ หากพบว่าหลังจากตื่นขึ้นมามีอาการไม่ปกติ เช่น อาเจียน หน้ามืด หรือสลบไปอีกครั้งโดยเฉพาะคืนนี้ กระหม่อมจะรีบแจ้งในทันที” หมอหลวงกล่าวด้วยความกังวล
หลี่หยางพยักหน้ารับเบา ๆ ใบหน้าอันเย็นชาไร้ความรู้สึกของเขา ตอนนี้กลับแสดงถึงความกังวลที่แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ
“ข้าจะเฝ้าดูอาการเอง” หลี่หยางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ท่าทีที่เคยแข็งกร้าวกลับกลายเป็นความอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด
หมอหลวงมองดูองค์รัชทายาทอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะค้อมศีรษะแล้วกล่าวลา “ถ้าเช่นนั้นแล้ว หากมีสิ่งใดพระองค์ได้โปรดรีบแจ้งกระหม่อม กระหม่อมจะอยู่ใกล้ ๆ สำนักไท่อีหย่วนตลอดคืนนี้” จากนั้นก็เดินออกจากห้อง ปล่อยให้หลี่หยางอยู่ตามลำพังกับหวังหยู่
เมื่อหมอหลวงจากไป ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง หลี่หยางนั่งลงข้างเตียงของหวังหยู่ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าอันงดงามของคนเจ็บอย่างละเอียด พลางถอนหายใจลึก
“ข้าไม่น่าทำแบบนี้...” หลี่หยางพึมพำกับตัวเอง ความรู้สึกผิดที่ท่วมท้นทำให้เขาไม่สามารถละสายตาจากหวังหยู่ได้
หลี่หยางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ในการรบที่ต้องต่อสู้กับศัตรู การตัดสินใจที่รวดเร็วและเฉียบขาดคือจุดแข็งของเขา แต่ครั้งนี้ การกระทำที่เกิดจากความโกรธและไม่ได้ไตร่ตรองกลับทำให้เขารู้สึกผิดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หวังหยู่ยังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าของเขาดูอ่อนแอราวกับจะแตกสลายได้ง่าย ร่างกายที่บอบบางเปราะง่ายและท่าทางสงบนิ่งทำให้หลี่หยางต้องสะท้อนกลับมาคิดถึงคำพูดที่หวังหยู่เคยกล่าวไว้
“ข้าอาจดูเปราะบางในสายตาของท่าน แต่ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่ท่านคิด...”
คำพูดนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจของหลี่หยาง เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าแท้จริงแล้วเขาเข้าใจองค์ชายผู้นี้มากน้อยเพียงใด แม้จะถูกส่งมาเป็นบรรณาการ แต่หวังหยู่ก็ดูมีความเข้มแข็งในแบบของตัวเอง และบางทีเขาอาจต้องการเพียงโอกาสในการพิสูจน์ตัวเอง
หลี่หยางลูบหน้าผากของหวังหยู่อย่างแผ่วเบา ความอ่อนโยนที่ไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็นมาก่อนเริ่มปรากฏออกมา “เจ้าต้องฟื้นนะ ข้าไม่ต้องการให้สิ่งที่ข้าทำพลาด... ทำร้ายเจ้าไปตลอดชีวิต”
คืนนั้น หลี่หยางนั่งอยู่ข้างเตียงไม่ยอมลุกไปไหน เขาเฝ้าดูหวังหยู่ตลอดทั้งคืน สายตาของเขาไม่เคยละจากร่างที่นอนนิ่งอยู่ในความมืด แม้จะเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็แฝงไปด้วยความหวังว่า เมื่อแสงอรุณรุ่งขึ้น หวังหยู่จะฟื้นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เขายังไม่เคยเห็นมาก่อน
ท่ามกลางความเงียบสงัดของรุ่งอรุณ ภายในห้องหอที่อบอวลไปด้วยกลิ่นธูปอันหอมหวาน และแสงอ่อนของดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ ส่องลงมาบนร่างขององค์ชายหวังหยู่ซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง จู่ ๆ การเคลื่อนไหวที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น... ร่างของหวังหยู่ที่ดูเหมือนจะหมดสติกลับเริ่มขยับตัวอย่างช้า ๆ
ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ร่างกายขององค์ชายกระตุกเล็กน้อย เปลือกตาที่เคยปิดสนิทค่อย ๆ เปิดขึ้น ดวงตาสวยที่เบิกขึ้นมาไม่ใช่สายตาที่เคยชินกับโลกใบนี้ แต่เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและงุนงง
ในช่วงวินาทีก่อนหน้านี้ วายุ หมอหนุ่มฝีมือดีในโลกปัจจุบัน ยังคงอยู่ในห้วงความมืดมิด สติของเขาพร่ามัว เสียงของรถชนและการกระแทกยังคงดังก้องในหัว เขาจำได้เพียงว่าร่างกายของเขาหมุนเคว้งท่ามกลางความว่างเปล่าเหมือนถูกดึงดูดเข้าสู่กระแสน้ำวนที่ไม่รู้จุดหมาย
เขารู้สึกเหมือนกำลังตกลงสู่ห้วงลึกของบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ ความรู้สึกของการล่องลอยนั้นเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที แต่เหมือนใช้เวลายาวนานนับชั่วโมง และทันใดนั้น ทุกอย่างก็ดับวูบ
วายุลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกงุนงง ความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยที่ศีรษะทำให้เขานิ่วหน้า สัมผัสของเนื้อผ้าที่นุ่มลื่นเหมือนผ้าไหมสัมผัสกับผิวกาย ความรู้สึกเย็นสบายจากสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคย
“ที่นี่ที่ไหนกัน” วายุพึมพำเบา ๆ เขามองไปรอบ ๆ ห้อง ดวงตาของเขาปรับเข้ากับความมืดและภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้เขาตกตะลึง ภายในห้องนั้นตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้โบราณ ผ้าม่านสีแดงสดที่มีลวดลายมังกรและหงส์ประดับอยู่ และชุดเครื่องนอนที่ปูด้วยผ้าไหมอย่างประณีต ไม่ใช่สถานที่ที่เขาเคยรู้จักมาก่อนแน่นอน
ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือความสับสน วายุพยายามยกมือขึ้นจับศีรษะที่ยังคงรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ทว่า มือที่เขายกขึ้นมาไม่ใช่มือที่เขาคุ้นเคย มือเรียวยาวที่ดูบอบบางและขาวซีดนั้นช่างแตกต่างจากมือที่เคยจับมีดผ่าตัดของเขาอย่างสิ้นเชิง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” วายุร้องออกมาด้วยความตระหนก ใจของเขาเต้นระรัว
เขาลุกขึ้นจากเตียงและมองร่างกายของตนเองอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขาเห็นคือร่างของชายหนุ่มที่ดูบอบบางกว่าปกติ สวมชุดคลุมยาวที่ทำจากผ้าไหมเนื้อละเอียดราวกับเสื้อผ้าของคนในยุคโบราณ เขารีบวิ่งไปที่กระจกซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าในกระจกทำให้เขาตกใจจนแทบหยุดหายใจ
ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกนั้นไม่ใช่ใบหน้าของวายุที่เขาคุ้นเคย แต่กลับเป็นใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ที่ดูอ่อนเยาว์และงดงามกว่ามาก ราวกับเป็นบุรุษผู้สูงศักดิ์ในราชวงศ์จีนโบราณ
“นี่มัน ร่างใคร” วายุกลั้นหายใจ ความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่ตัวเองและไม่ใช่โลกที่เขารู้จักเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ
ขณะที่วายุกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จู่ๆประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักแน่น ชายร่างสูงโปร่งในชุดเครื่องแบบเต็มยศโบราณก้าวเข้ามาในห้อง ดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยวจ้องตรงไปที่วายุด้วยความเย็นชา
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงแฝงด้วยความเรียบนิ่งและห่างเหินเอ่ยขึ้นมา ทันทีที่วายุหันไปมองก็พบกับสายตาเย็นชาของชายหนุ่มที่สง่างามแต่เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง เขารู้ในทันทีว่านี่คือคนที่มีอำนาจในที่แห่งนี้
“คุณคือ” วายุเอ่ยถามด้วยความสับสน
ชายคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าเป็นอะไร เจ้าไม่ควรมีอาการสับสนเช่นนี้”
วายุสับสนยิ่งขึ้น เขาพยายามจะทำความเข้าใจกับสถานการณ์แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะหลุดจากการควบคุมของเขา เขาถามตัวเองว่าทำไมเขาถึงอยู่ในร่างนี้ และเหตุใดจึงอยู่ในห้องของชายคนนี้
“ท่าน ท่านเป็นใคร” วายุถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของเขาคือภาษาที่ไม่คุ้นเคย มันเป็นภาษาจีนโบราณ ที่เขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อน แต่กลับพูดได้อย่างลื่นไหลเหมือนเป็นเจ้าของภาษา
ชายคนนั้นมองวายุด้วยสายตาแข็งกร้าว “ข้าคือองค์รัชทายาทหลี่หยางแห่งแคว้นเจียง และเจ้าคือพระชายาของข้า องค์ชายหวังหยู่แห่งแคว้นหลง”
หัวใจของวายุหยุดเต้นไปชั่วขณะ คำว่า “พระชายา” ดังก้องในหัวของเขา นี่หมายความว่า... เขาอยู่ในร่างของชายผู้เป็นภรรยาขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นโบราณอย่างนั้นหรือ
ความจริงที่ถาโถมเข้ามาทำให้วายุไม่สามารถตั้งสติได้ทัน เขาหายใจไม่ทั่วท้อง และทุกอย่างรอบตัวดูเหมือนจะกลายเป็นภาพเบลอ
“ข้าคงจะฝันไปแน่ ๆ” วายุพึมพำกับตัวเอง แต่ความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เขาตระหนักว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน มันคือชีวิตใหม่ที่เขาต้องเผชิญ
