ตอนที่ 3 อุบัติเหตุไม่คาดคิดกับความรู้สึกผิดในใจ
แม้บรรยากาศในงานแต่งงานจะเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีและการเฉลิมฉลอง แต่ลึกลงไปในใจขององค์รัชทายาทหลี่หยาง เขากลับรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก แม้จะปฏิบัติตามหน้าที่และวางท่าอย่างสง่างามต่อหน้าเหล่าขุนนางและแขกที่ถูกเชิญมาร่วมงาน แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ตั้งแต่แรกที่เขาได้เห็นหวังหยู่ องค์ชายจากแคว้นหลง หลี่หยางก็รู้สึกถึงความเปราะบางในตัวของชายผู้นี้ ใบหน้าที่งดงามและร่างกายที่บอบบางราวกับผู้หญิง ทำให้เขารู้สึกว่าหวังหยู่คงจะไม่เหมาะกับตำแหน่งพระชายาแห่งองค์รัชทายาท ความอ่อนโยนที่แสดงออกมาทำให้หลี่หยางอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามในใจว่า คนเช่นนี้จะมีความแข็งแกร่งพอที่จะยืนเคียงข้างเขาในฐานะคู่ชีวิตและผู้สนับสนุนทางการเมืองได้จริงหรือ
หลังจากงานเลี้ยงฉลองจบลง หลี่หยางพาหวังหยู่กลับมายังพระตำหนักของเขาเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่พิธีราตรีสมรสตามธรรมเนียมโบราณ พอพวกเขาอยู่กันเพียงลำพัง ความเงียบสงัดเริ่มเข้าครอบงำบรรยากาศ
หวังหยู่ที่นั่งอยู่บนเตียงหรูที่ปูด้วยผ้าไหมสีแดงเงางาม พยายามจะทำตัวให้ดูผ่อนคลาย แต่ก็รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่แผ่ออกมาจากหลี่หยาง
“องค์รัชทายาท ท่านเหนื่อยหรือไม่” หวังหยู่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและระมัดระวัง
“ไม่หรอก” หลี่หยางตอบสั้น ๆ น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเรียบเฉย ก่อนจะหันหลังไปยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทีที่หลี่หยางแสดงออกมาไม่เพียงแต่ทำให้หวังหยู่รู้สึกแปลกใจ แต่ยังทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตนเองถูกปฏิเสธอย่างเงียบ ๆ
“ข้าเข้าใจว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเรื่องของการเมือง ข้ารู้ว่าท่านอาจยังไม่พร้อมยอมรับข้า...” หวังหยู่พูดเบา ๆ พยายามที่จะทำความเข้าใจและแสดงถึงความอดทน
หลี่หยางหันกลับมามองหวังหยู่ด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องนี้ดูซับซ้อน การแต่งงานครั้งนี้เป็นสิ่งที่ข้าต้องทำเพื่อรักษาสันติภาพระหว่างแคว้น และเจ้า... ก็แค่บรรณาการเท่านั้น” คำพูดที่แหลมคมของเขาทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งตึงเครียดขึ้น
หวังหยู่ถึงกับชะงัก แม้เขาจะพยายามรักษาความสงบนิ่ง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดของหลี่หยางนั้นสร้างบาดแผลให้กับจิตใจของเขา ท่ามกลางรอยยิ้มและการปรบมือจากผู้คนในงานแต่งงาน หวังหยู่รู้ดีว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา ที่เบื้องหลังนั้นยังเต็มไปด้วยกำแพงของความไม่ไว้ใจ
“ข้าอาจดูเปราะบางในสายตาของท่าน แต่ข้าหาได้อ่อนแออย่างที่ท่านคิด” หวังหยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงกว่าที่ผ่านมา เขาไม่ต้องการถูกมองข้ามหรือถูกเหยียดหยาม แม้จะเป็นเพียงองค์ชายจากแคว้นเล็ก ๆ แต่เขาก็มีศักดิ์ศรีของตนเอง
หลี่หยางเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของหวังหยู่ แววตาของเขาแฝงด้วยความท้าทายเล็ก ๆ “งั้นหรือ ข้าหวังว่าเจ้าจะพิสูจน์คำพูดของเจ้าได้” แม้หลี่หยางจะพูดอย่างไม่สนใจ แต่ลึก ๆ แล้วเขารู้สึกถึงความมุ่งมั่นบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวของหวังหยู่ ซึ่งแตกต่างจากความอ่อนโยนที่เขาเห็นจากภายนอก เขาคิดว่ามันเป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมขององค์ชายผู้อ่อนแอแค่นั้น
หลี่หยางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ เขายังไม่แน่ใจนักว่าหวังหยู่จะสามารถยืนเคียงข้างเขาได้จริง ๆ หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกได้ในตอนนี้คือ ความสง่างามที่แฝงอยู่ภายใต้ความเปราะบางของชายผู้นี้อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดมาก่อน เขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหวังหยู่งดงามจริงๆ
“นอนเถอะ คืนนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว” หลี่หยางกล่าวเพียงเท่านั้นเพื่อตัดบทสนทนา ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้หวังหยู่ยืนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความเงียบ
หวังหยู่รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้กลางความเย็นชา แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเองให้หลี่หยางเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงบรรณาการที่อ่อนแอ แต่เขามีความสามารถพอที่จะยืนเคียงข้างองค์รัชทายาทผู้แข็งแกร่งคนนี้ได้
หลี่หยางที่เพิ่งกล่าวประโยคสุดท้ายจบก็เตรียมจะก้าวออกจากห้องหอ ใจของเขาเต็มไปด้วยความรำคาญและหงุดหงิดจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ แต่ทันทีที่เขาหันหลังเพื่อเปิดประตูออกจากห้อง กลับมีข้าราชบริพารที่ยืนขวางอยู่หน้าประตู
“องค์รัชทายาท โปรดอภัยพะยะค่ะ แต่ตามธรรมเนียมโบราณของราชวงศ์ ข้ามีหน้าที่ต้องขอให้องค์รัชทายาทประทับอยู่ในห้องหอจนถึงรุ่งเช้า” ท่านกงกงกล่าวอย่างสุภาพ ขณะที่คุกเข่าลงแสดงความเคารพ
หลี่หยางขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด “ประเพณีหรือ” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเย็นชาและอึดอัดใจ แม้เขาจะเป็นผู้ที่เคารพธรรมเนียมราชวงศ์ แต่ในคืนนี้ ความอดทนของเขาดูเหมือนจะถึงขีดจำกัด
หวังหยู่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเห็นท่าทีของหลี่หยางแล้วรีบเข้ามาหมายจะช่วยเกลี้ยกล่อม “องค์รัชทายาท ตามธรรมเนียมโบราณจริง ๆ แล้ว การอยู่ในห้องหอจนถึงรุ่งเช้าถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตคู่ ข้าว่าพวกเรา….”
ก่อนที่หวังหยู่จะพูดจบ หลี่หยางที่ยังคงโมโหอยู่กลับไม่ฟังคำอธิบายของเขา เขายกมือขึ้นโดยไม่คิดอะไร และผลักหวังหยู่ออกไปอย่างไม่ทันได้ระวังตัว
“ข้าไม่ต้องการฟังอีกแล้ว!”
แต่แรงผลักที่เต็มไปด้วยความโกรธและหงุดหงิดนั้นมากเกินไป หวังหยู่ที่บอบบางอ่อนแอและไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำนี้ เซถลาหงายหลัง ศีรษะของเขาชนเข้ากับเสาไม้ที่ตั้งอยู่ข้างหลังอย่างจัง
โครม!
ดังสะท้อนในห้องหอ ก่อนที่ร่างของหวังหยู่จะร่วงลงกับพื้นอย่างไม่มีสติ
“หวังหยู่!” หลี่หยางร้องออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนจากความโกรธเป็นความหวาดหวั่นในทันที เขารีบพุ่งตัวไปยังร่างของหวังหยู่ที่นอนแน่นิ่งไร้สติอยู่กับพื้น เลือดซึมออกมาจากบริเวณศีรษะ ทำให้เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน
ท่านกงกงและองค์รักษ์ที่ยืนอยู่หน้าประตูเองก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ รีบวิ่งเข้ามาดูพระชายาที่หมดสติ
“ไท่อี ไปเรียกจินไท่อีมาเร็ว!" เสียงหชท่านกงกงเสียงร้องตะโกนดังขึ้นทั่วทั้งตำหนักสั่งองค์รักษ์ ให้ไปเรียก ไท่อีหรือหมอหลวงมาดูอาการพระชายา
หลี่หยางอุ้มช้อนร่างไร้สติของหวังหยู่ไปวางไว้บนเตียงนอน ก่อนที่จะนั่งลงข้างๆเพื่อเฝ้าดูอาการ ใบหน้าที่เคยมั่นคงและเยือกเย็นกลับเต็มไปด้วยความสับสนและความรู้สึกผิดอย่างรุนแรง เขาไม่เคยคาดคิดว่าการผลักเบา ๆ ของเขาจะส่งผลรุนแรงเช่นนี้
ไม่นานนัก ไท่อี หมอหลวงประจำราชสำนักก็เร่งรีบมาถึง จินไท่อีรีบและวินิจฉัยอาการอย่างรวดเร็ว
“องค์พระชายาได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ข้าจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด” หมอหลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะรีบสั่งให้อี๋เซิงผู้ช่วยนำพระชายาหวังหยู่ไปยังไท่อีหย่วน ซึ่งเป็นสำนักหมอหลวง แต่หลี่หยางไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้องพระชายาเขาจึงเป็นคนที่อุ้มหวังหยู่ไปที่ไท่อีหย่วนเอง
หลี่หยางได้แต่ยืนมองหมอหลวงดูอาการของหวังหยู่ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เกาะกินหัวใจ เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายหวังหยู่ แต่ความโกรธที่ไม่ได้ควบคุมทำให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด ตอนนี้ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของเขาคือความหวาดกลัวว่าเขาอาจจะทำให้หวังหยู่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง
“ข้า... ข้าไม่ควรทำแบบนั้น” หลี่หยางพึมพำเบา ๆ ขณะมองร่างของหวังหยู่ที่ยังไม่ได้สติ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ และเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความรู้สึกผิดที่ไม่อาจลบเลือนได้
