บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 ความหวังใหม่

บทที่ 9 ความหวังใหม่

การเรียนของซินหยานเป็นไปได้ด้วยดี ชีวิตช่วงนี้ก็แสนจะเรียบง่ายทั้งยังสงบสุข และนี่ก็เป็นวันที่ครบกำหนดที่อวี้หลางคนสนิทของท่านปู่จะต้องเดินทางมาที่นี่อีกครั้ง

“สบายดีนะขอรับคุณหนู” อวี้หลางทักทายพลางลอบสังเกตซินหยาน

“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ รบกวนให้ใต้เท้าต้องเป็นห่วงแล้ว” ซินหยานระบายยิ้ม

อวี้หลางพอจะทราบรายละเอียดการเป็นอยู่และการเคลื่อนไหวของเฉินซินหยานอยู่ไม่น้อย และสารนั้นก็มาจากอาจารย์ที่ส่งมาให้นางนั่นเอง

“อาจารย์ที่นายท่านส่งมาให้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ เขาปฏิบัติต่อคุณหนูอย่างดีหรือไม่”

“ดีมาก ท่านอาจารย์ดีกับข้ามาก”

“เช่นนั้นก็ดีขอรับ ข้ามีคำถามอีกสักคำถามอยากจะถามคุณหนูแต่ไม่แน่ใจว่าควรถามหรือไม่”

“ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ ระหว่างเราสองคนมีสิ่งใดให้ต้องมาเกรงใจกันอีก”

การที่ได้สนิทสนมกับผู้ช่วยของท่านปู่ล้วนแต่ส่งผลดีต่อตัวนางเอง เพราะอวี้หลางเป็นคนที่ท่านปู่ไว้ใจที่สุดมากกว่าลูกทั้งสี่คนของท่านปู่เสียอีก

“ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ที่ไหมราคาต่ำคุณหนูไปกว้านซื้อมันเอาไว้” เขาค่อยๆพูดน้ำเสียงปกติ แต่ภายในกลับแฝงความอยากรู้อยู่เต็มอก

“ทำไมหรือเจ้าคะ” ซินหยานเอียงคอด้วยความสงสัย

ซินหยานรู้อยู่เต็มอกว่าเขาถามเรื่องนี้ทำไมแต่ก็ต้องแกล้งเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไปก่อน

“คุณหนูตั้งใจขอรับเงินเบี้ยเลี้ยงมาเพื่อสิ่งนั้นหรือ”

ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรทุกอย่างก็ดูลงตัวเกินไป คุณหนูหกที่โดนนำมาทิ้งในที่ห่างไกลอยู่ดีๆก็เขียนจดหมายหาท่านปู่ของนาง แถมไม่ได้เขียนให้คนอื่นเลยด้วยแม้แต่บิดาและมารดาของนาง

เมื่อได้เงินมาแล้วนางยังทุ่มเงินเกือบหมดก้อนเพื่อซื้อไหมที่ไม่รู้ว่าจะสามารถขายออกได้หรือเปล่าอีก ราวกับว่านางรู้อยู่แล้วว่าราคาของไหมจะต้องพุ่งสูงขึ้นแน่นอน

“ถ้าบอกว่าไม่ใช่ก็คงจะเป็นการแก้ตัวจนเกินไป” ซินหยานยอมรับตามตรง

“คุณหนูทราบหรือขอรับว่ามันจะราคาขึ้นถึงขนาดนั้น” เขาจ้องตาเด็กน้อยตรงหน้าด้วยความคาดหวัง

“ข้าแค่คาดเดาเท่านั้นเจ้าค่ะ” นางสามารถตอบเขาได้อย่างลื่นไหลไม่เผยพิรุธแม้แต่น้อย

“คาดเดางั้นหรือ” อวี้หลางพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ข้าไม่ได้คิดซับซ้อนเหมือนที่ใต้เท้าจินตนาการหรอกนะเจ้าคะ” นางระบายยิ้มสดใส สองมือประสานเข้าหากัน

“แล้วคุณหนูเดาได้อย่างไรขอรับ”

“ข้าแค่คิดง่ายๆว่าสกุลเหยาเป็นพ่อค้าที่มีอิทธิพลที่สุดในเมืองนี้ เขาขายไหมในราคาที่ต่ำมากเพราะต้องการกดดันให้เจ้าอื่นขายไม่ได้และต้องยอมแพ้ไป” ซินหยานค่อยๆเล่าตามความคิดของตัวเอง

“นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อย”

“และพอกำจัดคนอื่นไปได้แล้วเขาก็จะทำการขึ้นราคาพวกมันจนสูงลิ่ว”

ผู้คนต่างก็รู้ว่าเมืองนี้และเมืองบริเวณรอบๆไม่มีผู้เลี้ยงไหมเลย การจะนำมันเข้ามาจำหน่ายต้องใช้เวลาพอสมควร

“หืม” อวี้หลางส่งเสียงในลำคอ

เด็กคนหนึ่งจะคิดได้มากขนาดนี้เลยหรือ ยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ค่อยได้รับการศึกษาอีกด้วย ช่างเป็นเด็กที่ยากจะคาดเดา

“ข้าก็เลยคิดว่าพอถึงตอนนั้นข้าก็จะขายไหมพวกนั้นออกไปเช่นเดียวกัน ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้เองเจ้าค่ะ”

เฉินซินหยานวางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะคล้ายกับการบอกว่าสิ่งที่นางคิดนั้นก็ได้พูดออกไปหมดแล้ว

“แล้วคุณหนูทำอย่างไรให้พ่อค้าพวกนั้นยอมมอบสินค้าให้ในราคาที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกหรือขอรับ” หากเป็นคนอื่นก็คงถูกเอาเปรียบโดยการขึ้นราคาไปแล้ว ทุกคนย่อมต้องหาผลประโยชน์เข้าตัว

“สัญญาซื้อขายเจ้าค่ะ ข้ารู้ดีว่าไม่ควรไว้ใจคนอื่นเกินไปถ้าอนาคตไหมมีราคาสูงขึ้นพวกเขาก็อาจจะตุกติกขอขึ้นราคาได้ และข้าก็จ่ายเงินแค่ครึ่งเดียวเป็นค่ามัดจำเอาไว้ก่อน”

“รอบคอบมาก ถึงคุณหนูจะฉลาดแค่ไหนแต่ก็อย่าชะล่าใจนะขอรับ” เขาพูดน้ำเสียงจริงจังด้วยความเป็นห่วง

สำหรับอวี้หลางแล้วตอนนี้เฉินซินหยานมีน้ำหนักในใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าพวกคุณหนูและคุณชายที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีที่จวนเสียอีก

“ใต้เท้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะพยายามให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ”

อวี้หลางได้แต่นึกภูมิใจอยู่ในใจ ตระกูลเฉินที่เขารักยิ่งกว่าชีวิตเหมือนจะมีความหวังขึ้นมาแล้วจริงๆสินะ นายท่านจะต้องดีใจแน่ถ้าได้รู้แบบนี้

“แต่ที่ข้าแปลกใจอีกอย่างคือเหตุการณ์ไฟไหม้” เขาไม่ได้พูดต่อให้จบ

ในความคิดของอวี้หลางนั้นการเฉลียวฉลาดและมีเล่ห์เหลี่ยมถือเป็นเรื่องที่ดี แต่เขาก็ไม่อยากให้ซินหยานทำสิ่งที่ไม่ถูกศีลธรรมตั้งแต่ยังเด็ก

“ท่านคิดอะไรอยู่เจ้าคะ ไม่ใช่ฝีมือข้าเสียหน่อย” ซินหยานหลุดหัวเราะยกใหญ่กับสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเขา

นี่เขาคิดว่านางร้ายกาจถึงขนาดจะวางเพลิงโกดังเก็บสินค้าคนอื่นเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเลยหรือไงกัน คิดมากเกินไปแล้ว

“เฮ้อออ” อวี้หลางถอนหายใจจนสุดลมด้วยความโล่งใจ

“มันแค่เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น เพลิงไหม้เกิดจากคนงานเก่าที่โดนไล่ออกโดยไม่ยอมจ่ายค่าแรงให้จนเกิดความแค้นก็เท่านั้นเอง คิดไปถึงไหนกันเจ้าคะ”

“ข้าก็แค่ถามดูเท่านั้นเอง เผื่อนายท่านจะถามไงขอรับ”

อวี้หลางนึกขอโทษขอโพยเจ้านายของเขาในใจที่ต้องใช้อีกฝ่ายมาเป็นข้ออ้าง

“ไหนๆวันนี้ท่านก็ไม่น่าจะมีธุระที่อื่นแล้วช่วยออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่” ซินหยานทำหน้าตาน่าเอ็นดูจนอวี้หลางใจอ่อน

ท่าทางสดใสน่าเอ็นดูนั่นมีหรือจะทำให้เขาใจแข็งได้ลง อวี้หลางมีบุตรชายอยู่สองคนทั้งคู่ก็มีอายุถึงวัยที่จะแต่งงานได้แล้วแต่มิมีใครยอมแต่งกันสักคน

ได้มาเห็นคุณหนูหกแบบนี้แล้วเขาก็คิดว่าถ้าได้ลูกสาวหรือหลานสาวสักคนก็คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว

ทำไมตอนยังหนุ่มๆเขาถึงยอมแพ้ที่จะมีลูกอีกสักคนกันนะ

“บอกให้คนไปเตรียมรถม้า” อวี้หลางครุ่นคิดไม่นานก็หันไปสั่งการ

รถม้าตระกูลเฉินวิ่งไปตามเส้นทาง เรียกสายตาของผู้คนได้เป็นอย่างดี ที่ห่างไกลแบบนี้ใช่ว่าจะมีรถม้าที่หรูหราเช่นนี้ผ่านมาบ่อยๆเสียเมื่อไหร่

“พวกเราจะไปที่ใดกันขอรับ”

“ไปภัตตาคารต้าหว่าน” ซินหยานบอกและชี้นิ้วไปด้านหน้าอย่างร่าเริง

ต่อให้ข้างในจะเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ด้วยร่างกายของเด็กบางครั้งก็ทำให้ควบคุมการกระทำได้ยาก และซินหยานก็ไม่คิดที่จะฝืนจนมากเกินไป

เมื่อมาถึงซินหยานก็รีบวิ่งลงจากรถม้าด้วยความตื่นเต้นราวกับเด็กๆที่ได้ออกจากบ้านครั้งแรก

ถ้าดูตามความเป็นจริงแล้วซินหยานแทบไม่เคยได้ออกจากจวนเลยตั้งแต่ย้ายไปอยู่เมืองหลวง ไม่ว่าจะขอร้องหรือทำตัวดื้อรั้นแค่ไหนท่านแม่ของนางก็ไม่อนุญาต

“ท่านสั่งได้เต็มที่เลยนะข้าเลี้ยงเอง” ซินหยานบอกอย่างภูมิอกภูมิใจ

นอกจากซือเจียแล้วอวี้หลางเป็นคนที่สองที่นางได้เลี้ยงอาหารเช่นนี้ ถ้าจะให้สนิทกันก็ต้องกินข้าวด้วยกันนางคิดแบบนั้น

“ฮ่าๆๆ รบกวนคุณหนูแล้ว” อวี้หลางหัวเราะอย่างพึงพอใจ

จะมีเด็กแปดขวบที่ไหนกันที่อยากเลี้ยงข้าวชายวัยสี่สิบกว่าอย่างเขา คุณหนูหกนี่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ หรือเขาจะมีลูกสาวอีกสักคนดีไหมนะสงสัยต้องกลับไปปรึกษากับที่บ้านเสียแล้ว

ซินหยานสั่งอาหารจนเต็มโต๊ะ และไม่ลืมที่จะเรียกซือเจียมานั่งกินด้วยกันแม้แต่บ่าวที่ติดตามอวี้หลางนางก็ยังไม่รังเกียจที่จะนั่งร่วมโต๊ะอาหาร ความจริงแล้วอวี้หลางไม่ใช่บ่าว เขาคือลูกของชาวบ้านธรรมดาที่โตมากับเฉินรุ่ยเซียว

เสียงพูดคุยหัวเราะของพวกเขาดังไม่ขาดสาย สายตาทุกคู่บนโต๊ะอาหารมักจะหันไปมองที่ทางเดียวกันคือเด็กน้อยวัยแปดขวบที่พูดจาเจื้อยแจ้วไม่หยุด แต่สิ่งที่นางพูดล้วนเป็นสิ่งที่น่าฟังและน่าสนใจทั้งนั้น

“ฝากให้ท่านปู่ด้วยนะเจ้าคะ” ซินหยานยื่นของกินและของใช้มากมายที่นางเดินซื้อหลังจากทานอาหารเสร็จให้เขา

“คุณหนูไม่ได้ซื้อให้ตัวเองหรือขอรับ” เขาเห็นว่านางเดินซื้อตั้งนานก็นึกว่าจะซื้อให้ตัวเองเสียอีก

“ของพวกนี้ล้วนเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ทั้งนั้นข้าอยากให้ท่านปู่ได้ลองกินดู ส่วนอันนี้ของท่าน” ซินหยานหยิบของอีกจำนวนหนึ่งจากซือเจียให้เขา

“น้ำใจนี้ข้ารับไว้แล้ว ไว้ข้าจะมาเยี่ยมใหม่นะขอรับ”

การได้มาเจอคุณหนูหกทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมามากจริงๆ หากนายท่านได้เจอได้พูดคุยกับนางคงจะทำให้เขามีรอยยิ้มกับคนอื่นเขาบ้าง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel