บทที่ 10 ย้ายกลับเมืองหลวง
บทที่ 10 ย้ายกลับเมืองหลวง
สายลมยามบ่ายพัดผ่านพาให้ต้นไม้น้อยใหญ่ปลิวไหว เข้าเหมันตฤดูมาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว โชคดีที่ยามบ่ายอากาศไม่ได้หนาวเย็นจนต้องใส่อาภรณ์หลายชั้นเพื่อให้ความอบอุ่น
ร่างกายของนางยังเป็นเด็กพอต้องใส่ผ้าหลายๆชั้นมันก็ทำให้เคลื่อนไหวได้ลำบากและน่าหงุดหงิด
“ไปเอากระดาษกับพู่กันให้ข้าที” ซินหยานสั่งกับบ่าวที่อยู่ใกล้ตัว
ถึงเวลาที่จะต้องเดินไปยังแผนต่อไปแล้วมัวแต่อุดอู้อยู่ที่นี่ก็จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
“คุณหนูจะเขียนจดหมายหานายท่านหรือเจ้าคะ” ซือเจียที่ผ่านมาได้ยินก็หยุดเดินและมานั่งคุยด้วย
“อืม เจ้าก็เตรียมตัวไว้นะเราใกล้จะย้ายที่อยู่แล้ว” ซินหยานกล่าว สายตาของนางยังคงเหม่อมองบรรยากาศรอบจวน นางอยากจะจดจำที่แห่งนี้ไว้ให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะต้องจากไป
เนื้อความในจดหมายนั้นไม่ได้มีเนื้อหามากมาย นางใช้ข้ออ้างที่อดีตน้าสะใภ้สร้างเรื่องสร้างราวเอาไว้มาเป็นข้ออ้างว่านางอายสายตาชาวบ้านที่มองเข้ามาที่นางด้วยความสมเพชและเย้ยหยัน
“ที่เหลือก็คือต้องเกลี้ยกล่อมท่านตาให้เขาไปด้วยให้ได้” ซินหยานมีสีหน้าลำบากใจ
การที่จะเกลี้ยกล่อมให้ท่านตาของนางยอมย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกันนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก
ตกเย็นดวงตะวันลาลับขอบไปแล้วฟ้าซินหยานก็ไปพบกับท่านตาของนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ถ้าท่านตาไม่ยอมไปด้วยนางก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
“ซือเจียบอกว่าซินเอ๋อร์มีเรื่องจะคุยกับตา”
“เจ้าค่ะ หลานมีเรื่องจะขอร้อง” นางสบตาเขาโดยตรง
โดยปกติซินหยานมักจะขอให้เขาทำนู่นทำนี่ให้ด้วยท่าทางออดอ้อนตามประสาเด็กๆ แต่ครั้งนี้นางกลับมีท่าทีจริงจังจนคนเป็นตาทำตัวไม่ถูก
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าลูก” เขารีบก้าวไปหาหลานสาวด้วยความกังวล
“ท่านตาช่วยย้ายไปอยู่ที่จวนสกุลเฉินกับข้าได้ไหมเจ้าคะ” ซินหยานบีบมือของท่านตาของนางเบาๆ
“ย้ายไปเมืองหลวงหรือ ทำไมเล่า” เขาถามด้วยความประหลาดใจ
“ท่านตาก็รู้ว่าพวกคนข้างนอกนั้นพูดถึงพวกเรากันอย่างไร” นางก้มหน้าพลางทำหน้าหงอย
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างเจ้าจะต้องไปสนใจเลย” เขาพยายามจะปลอบใจหลานสาว
ซินหยานส่ายหน้าช้าๆ ขอบตาของนางแดงก่ำ น้ำตารื้นจนเกือบจะไหลริน
“ทุกครั้งที่ข้าออกไปข้างนอกพวกเขาก็มองข้าด้วยสายตาแปลกๆข้าไม่ชอบเลยเจ้าค่ะท่านตา”
“โถ่ ซินเอ๋อร์ของตา” เขากอดปลอบหลานสาวอย่างทะนุถนอม
ชายชราครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ในหัวของเขาสับสนวุ่นวายไปหมดการจะย้ายที่อยู่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และยิ่งต้องย้ายไปอยู่บ้านของคนอื่นอีกด้วย
“แล้วท่านปู่ของเจ้าเขาจะยอมหรือ”
“ข้าเขียนจดหมายบอกท่านปู่แล้วเจ้าค่ะ แต่ข้าอยากมาบอกท่านตาก่อนที่จะได้รับจดหมายตอบกลับ”
“ซินเอ๋อร์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจกันได้ง่ายๆเลย”
“ท่านตาาาา” ซินหยานแกว่งปลายแขนเสื้อท่านตาของนางไปมา
“เอาเป็นว่าถ้าใต้เท้าเฉินอนุญาตตาก็จะไปกับเจ้า”
“ท่านตาดีที่สุดเลย” นางกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
และก็เป็นไปตามคาดท่านปู่ของซินหยานอนุญาตให้นางกลับไปอยู่ที่เมืองหลวงได้ และได้กำชับให้นางเตรียมตัวให้ดี
การเตรียมตัวคงจะไม่ใช่แค่การเตรียมของแต่เป็นการเตรียมใจให้พร้อมด้วย ที่นั่นคงมีคนรอต้อนรับนางเยอะแยะไปหมด
สามวันต่อมารถม้าพร้อมกับเกวียนบรรทุกของของสกุลเฉินก็มาจอดรออยู่หน้าจวนสกุลเซียว พวกของใช้ซินหยานก็นำไปแค่ของที่จำเป็นเท่านั้น
“ท่านตาตื่นเต้นไหมเจ้าคะ” ซินหยานถามท่านตาของนางที่เอาแต่ทำหน้าคร่ำเครียดมาตั้งแต่เช้า
“ตื่นเต้นเรื่องอะไรกัน”
“จะได้เจอท่านแม่ไงเจ้าคะ”
คำถามที่ตรงไปตรงมาของหลานสาวมันทำให้เขาลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ ร่างกายรู้สึกชาไปทั้งตัว เขาไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวคนโตมาเกือบหกปีแล้ว ขนาดตอนที่นางส่งซินเอ๋อร์มาที่นี่ตัวนางเองก็ยังไม่มาเลย
“ไม่หรอก” เขาโกหก เขาตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลยต่างหาก
เจินเจินของเขาดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบท่านพ่อคนนี้ของนางเสียเท่าไหร่นางเกลียดความอ่อนแอและใจอ่อนของเขา เจินเจินของเขาเป็นสตรีที่เข้มแข็งมากไม่เหมือนกับบิดาของนาง
“ข้ารู้เจ้าค่ะว่าท่านตาอยากเจอท่านแม่” เฉินซินหยานกอดท่านตาของนางเอาไว้แน่น
“ขอบใจนะซินเอ๋อร์”
ผ่านมาได้ครึ่งทางรอบข้างก็เป็นป่าทึบ ต้นไม้โดยรอบทั้งสูงและมีขนาดใหญ่จนแสงแดดลอดผ่านได้ยาก เสียงน้ำไหลบ่งบอกว่ามีลำธารอยู่ใกล้ๆ แต่ที่น่าแปลกคือยิ่งเข้าใกล้ลำธารมากเท่าไหร่ก็เหมือนว่าจะมีกลิ่นเหม็นมากขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเราแวะพักตรงลำธารข้างหน้าสักหน่อยดีกว่า” ท่านตาของนางออกความเห็น
เดินทางมาไกลควรให้ม้าและคนบังคับม้าได้พักบ้าง
“ทำไมมันเหม็นแบบนี้เจ้าคะท่านตา” นางยกมือขึ้นมาปิดจมูกและบ่นเสียงอู้อี้
“นั่นสิ อาจจะมีคนนำของเสียมาทิ้งแถวนี้”
ซินหยานเดินไปนั่งพักใต้ต้นไม้ แต่แล้วก็ต้องขนลุกทั้งตัวเมื่อนางได้ยินเสียงหอบหายใจรวยรินอยู่ไม่ไกล ท่านตาก็ยืนอยู่ห่างจากนางพอควร
นางทำใจกล้าค่อยๆหันไปมองต้นตอของเสียง เงาของใครบางคนอยู่ในเงามืดกำลังนอนอยู่ใต้ต้นไม้ห่างจากนางแค่ไม่กี่ต้นเท่านั้น
“ท่านตา ! ” นางพยายามตะโกนเรียกท่านตาของนาง
แต่เสียงของเด็กแปดขวบจะดังเท่าไหร่กันเชียว ท่านตาของนางก็มัวแต่เดินหาต้นตอของกลิ่นเหม็นเน่าจนเดินออกไปไกลเรื่อยๆ
“เอาก็เอา” ซินหยานรวบรวมความกล้าลุกขึ้นค่อยๆก้าวขาไปทิศทางที่คนผู้นั้นนอนอยู่
“หืม ! ” เมื่อเดินใกล้ถึงก็สังเกตได้ว่าเขาคือคนจริงๆไม่ใช่สิ่งที่นางคิดก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
พอเดินใกล้เข้าไปเรื่อยๆก็พบว่าบนตัวเขามีเลือดไหลเต็มไปหมด ซินหยานตั้งใจจะปลุกเขาเลยยื่นแขนไปด้านหน้า
หมับ !
“กรี๊ดดดด ! ” ซินหยานกรีดร้องด้วยความตกใจเพราะอีกฝ่ายคว้าแขนของนางเอาไว้
เสียงคนกำลังวิ่งมาทางนี้แต่นางก็ไม่ได้ยินมัน สติของนางแตกกระเจิงมือไม้สั่นไปหมด
“ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย” คนที่นอนอยู่หอบหายใจแรงขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นซินเอ๋อร์” เฉิงคุนรีบวิ่งทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของหลานสาว เขาวิ่งจนลืมอายุของตัวเอง
“คนเจ้าค่ะท่านตา มีเลือดด้วย” ซินหยานชี้ไปที่คนที่นอนอยู่
คนที่นอนอยู่คือเด็กชายคนหนึ่ง ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะแก่กว่านางไม่กี่ปี แต่เด็กตัวแค่นี้ทำไมถึงถูกทิ้งกลางป่าแบบนี้นะ แถมยังมีเลือดเปื้อนทั้งตัวอีก
“รีบช่วยคนเร็วเข้า” เฉิงคุนรีบสั่งให้พวกคนติดตามมาอุ้มเด็กไปรักษาที่หมู่บ้านใกล้แถวๆนี้
การยื่นมือช่วยเหลือเด็กคนนั้นทำให้การเดินทางของพวกเขาล่าช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย โชคดีที่มีคนออกตามหาเด็กคนนั้นจนมาเจอพวกเขาพอดี
“เขาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านตา” ซินหยานถามด้วยความเป็นห่วง
“ปลอดภัยแล้ว ทำดีมากถ้าไม่ได้เจ้าเด็กคนนั้นคงไม่รอด”
“แล้วบาดแผลบนตัวเขา...”
“เห็นว่าเดินหลงกับพ่อแม่แล้วโดนสัตว์ป่าทำร้ายมา” เขาบอกไปตามที่คนพวกนั้นเล่ามาอีกที
“งั้นหรือเจ้าคะ”
ซินหยานไม่เชื่อสิ่งที่ท่านตาของนางพูดสักนิด นางเห็นรายดาบบนแขนของเขา เด็กตัวแค่นั้นทำไมถึงได้โชคร้ายขนาดนั้นกันนะ
“เจ้าหิวหรือไม่ กินขนมสักหน่อย” เฉิงคุนจงใจเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้หลานสาวของเขาคิดมาก
“ไม่เจ้าค่ะ” ซินหยานหลับตาลง ภาพของเหลวสีแดงสดยังติดตาจนนางกินอะไรไม่ลงแม้แต่คำเดียว
