บทที่ 6 คนจากเมืองหลวง
บทที่ 6 คนจากเมืองหลวง
เข้าใกล้เหมันตฤดูเข้าไปทุกทีลมหนาวที่เริ่มพัดผ่านเข้ามาพาให้ต้องขุดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาเพื่อหาความอบอุ่น
การมีเงินนี่มันดีจริงๆถึงจะยังไม่มีโอกาสได้ใช้แต่ก็รู้สึกอุ่นใจ
ตอนที่โดนพาตัวกลับไปที่เมืองหลวงครั้งก่อน ซินหยานไม่มีโอกาสได้จับเงินพวกนั้นแม้แต่ตำลึงเดียวเพราะท่านแม่ของนางไม่อนุญาต ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดก็จะโดนขัดทุกครั้งไป คล้ายกับว่าซินหยานและมารดาของนางคือคนที่ยืนอยู่คนละฝั่ง หากคนนึงเป็นไฟอีกคนก็คือลมพายุที่โหมกระหน่ำใส่กันจนทำให้ทุกอย่างรอบตัววอดวาย
“วันนี้ให้คนเตรียมรถม้าให้ทีข้าจะออกไปใช้เงินสักหน่อย”
“เจ้าค่ะคุณหนู” ซือเจียรับคำอย่างว่าง่าย
การที่คุณหนูของนางสามารถจัดการเซียวฮูหยินได้ถึงสองครั้งสองคราทำให้ซือเจียเชื่อย่างสนิทใจว่าคุณหนูของนางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“ให้คนไปบอกท่านตาให้ด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ”
ใช้เวลาไม่นานก็เตรียมทุกอย่างพร้อมและออกเดินทาง โดยทั่วไปแล้วสตรีที่อายุยังไม่ถึงสิบสองจะไม่ค่อยออกจากบ้านบ่อยนักเพราะถือว่าเป็นธรรมเนียม แต่มันไม่สำคัญสำหรับซินหยานในตอนนี้
“คุณหนูเจ้าคะ นั่นมัน” ซือเจียกระซิบเสียงเบา สายตาของนางมองออกไปนอกหน้าต่างของรถม้าคันเก่า
“หืม” ซินหยานขยับตัวเพื่อมองหน้าต่างฝั่งเดียวกับซือเจีย
สิ่งที่เห็นทำให้ซินหยานหวั่นใจ นางทราบดีว่าความสัมพันธ์ของท่านน้าและน้าสะใภ้นั้นไม่ค่อยราบรื่นนัก แต่ก็ไม่คิดว่าน้าสะใภ้กล้าทำเรื่องเช่นนี้
“พวกเราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” ซือเจียที่อยู่ในอาการตกตะลึงถามด้วยความลนลาน
“อย่าพึ่งบอกใครเงียบไว้ก่อน”
ถึงว่าทำไมช่วงนี้ถึงเงียบไปที่แท้ก็มาทำเรื่องเสื่อมเสียอยู่นี่เอง ข้างกายของเซียวฮูหยินมีบุรุษผู้หนึ่งเดินข้างกัน ใกล้ชิดสนิทสนมไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอย่างไร
บุรุษผู้นั้นไม่ใช่ท่านน้าของนาง แต่ใบหน้านั้นก็พอที่จะคุ้นตาอยู่บ้าง
“บุรุษผู้นั้นไม่ใช่สามีของสวี่ฮูหยินหรือเจ้าคะ”
“อืม อย่างที่คิดนั่นแหละ”
ถ้าหากจะถามว่าสวี่ฮูหยินเป็นใครนั้นตอบได้ง่ายมาก นางก็คือสหายสนิทของน้าสะใภ้นั่นเอง เป็นสหายที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ซินหยานได้แต่สงสัยว่าคนเรามันจะไร้จิตสำนึกได้ถึงขนาดไหนกัน
“ดูท่าจะลางไม่ดีแล้วพวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
ตลอดทางที่รถม้าวิ่งไปภายในรถม้าไร้เสียงพูดคุย ทั้งสองมีแต่สีหน้าลำบากใจ
การที่น้าสะใภ้ของนางทำแบบนี้ถ้านางเลือกที่จะเปิดโปงอีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะเป็นผลดีเสียทีเดียว มันจะสร้างความอับอายให้ครอบครัวของนางด้วยเช่นกัน
“คุณหนูตัดสินใจได้หรือยังเจ้าคะ”
ก่อนที่จะลงจากรถม้าซือเจียก็ถามซินหยาน เรื่องนี้จะต้องไตร่ตรองให้ดี
“อืม คงต้องทำอะไรสักอย่าง” หากจะให้บอกคนอื่นตรงๆเลยก็คงยากที่จะเชื่อ และอาจจะทำให้อีกฝ่ายไหวตัวทันอีกด้วย
“เกิดเรื่องอีกแล้วเจ้าค่ะคุณหนู” ซือเจียโวยวายอยู่หน้าห้องของซินหยาน
“มีเรื่องอะไรอีก” ซินหยานถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
เรื่องก่อนยังไม่ได้แก้แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นอีก ชีวิตใหม่นี้จะมีอุปสรรคเยอะเกินไปแล้ว ไม่ให้นางได้ว่างเว้นเลย
“มีคนมาเจ้าค่ะ” ซือเจียบอกลุกลี้ลุกลน
“ใครกัน คงไม่ใช่สวี่ฮูหยินหรอกนะ” ซินหยานเบิกตากว้าง มือที่จับพู่กันอยู่ก็เผลอปล่อยมันจนหมึกเลอะกระดาษ
“มิใช่เจ้าค่ะ คนจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
“คนของท่านปู่งั้นหรือ” ซินหยานขมวดคิ้วฉงน
ชาติก่อนท่านปู่ไม่เคยส่งคนมาที่นี่เลยสักครั้ง อย่าว่าแต่ท่านปู่เลยท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่เคยสนใจใยดีนางเลยด้วยซ้ำ ถึงท่านพ่อจะอยากทำก็คงโดนท่านแม่ห้ามไว้
“ใช่เจ้าค่ะ เขาบอกว่าต้องการพบคุณหนู”
“ไปๆ รีบไปช่วยข้าแต่งตัว”
หลังจากนั้นภายในห้องของซินหยานก็คล้ายกับว่าจะมีพายุพัดอยู่ในห้อง ทั้งนายทั้งบ่าวต่างวุ่นวายพากันหยิบนู่นจับนี่
ทุกย่างก้าวที่นางก้าวเดินนั้นภายใต้อกระส่ำอย่างควบคุมไม่ได้
“เชิญนั่งก่อนขอรับคุณหนู”
น้ำเสียงเรียบนิ่งและท่าทีเย็นชาของอีกฝ่ายทำให้ซินหยานต้องนั่งลงอย่างว่าง่าย
คนคนนี้คือคนสนิทของท่านปู่ เขามีนามว่าอวี้หลาง การที่ท่านปู่ส่งเขามาก็หมายความว่านางมีความสำคัญพอตัว
“ท่านมาที่นี่มีธุระอันใดกับข้าหรือ” ซินหยานใช้น้ำเสียงปกติไม่ได้ตั้งแง่กับเขาหรือแสดงความเป็นมิตรจนเกินควร
ท่าทีสุขุมและการแสดงออกของซินหยานทำให้อวี้หลางประหลาดใจไม่น้อย ตอนที่ได้รับคำสั่งให้มาดูการเป็นอยู่ของนางทำให้เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ช่างไร้สาระ แต่สิ่งที่เห็นก็พอจะน่าสนใจอยู่บ้าง
“คุณหนูสบายดีนะขอรับ”
“แล้วท่านคิดว่าอย่างไรเล่า” ซินหยานวาดแขนทั้งสองข้างเสมอไหล่เพื่อให้อีกฝ่ายสำรวจดู
“นายท่านฝากมาบอกว่าหากมีเรื่องขัดสนอันใดให้บอกกับข้ามาได้เลย”
“อืม เท่านี้เองหรือ”
นางก็นึกว่าจะมีเรื่องอะไรเสียอีก แต่การที่ท่านปู่เริ่มให้คนสนใจกับนางก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
“และนายท่านก็มีคำถามบางคำถามที่ฝากมาด้วยขอรับ”
เรื่องอะไร ถ้าข้าตอบได้ข้าก็จะตอบ” นางแสดงท่าทีที่ดูเหมือนให้ความเคารพเขาแต่ก็ไม่ได้ทำเหมือนเขาคือคนที่เหนือกว่าจนนางต้องหวาดกลัว ทั้งๆที่คนผู้นี้คือคนสนิทของท่านปู่
“คุณหนูรู้ได้อย่างไรขอรับว่าคนสกุลเฉินมีเบี้ยเลี้ยงตั้งแต่เกิด หากอายุยังไม่ครบเจ็ดปีก็ไม่สามารถทราบเรื่องนี้ได้ และคุณหนูก็จากเมืองหลวงมาที่นี่ก่อนถึงวัยที่จะต้องรู้” เขาจ้องดวงตาของเด็กสาวตรงหน้าอย่างคาดคั้น
สายตากดดันของเขาทำให้ซินหยานอึดอัดอยู่บ้าง อวี้หลางกับน้าสะใภ้ของนางนั้นต่างกัน คนแบบนี้ต่างหากที่น่ากลัวจริงๆ
“มันสำคัญด้วยหรือ”
“...” อวี้หลางไม่ตอบคำ เขายังใช้สายตากดดันให้นางยอมเปิดปาก
“นี่เป็นความลับนะ” ซินหยานเขยิบหน้าเข้าไปใกล้และป้องปากกระซิบ
“ต้องเป็นความลับด้วยหรือ”
“ใช่สิ ข้าเคยแอบได้ยินท่านแม่คุยกับท่านพ่อเรื่องนี้ ก็เลยบังเอิญรู้มา” ซินหยานกระซิบราวกับว่ามันเป็นความลับที่จะให้คนอื่นรับรู้ไม่ได้
“แค่นี้หรือขอรับ” อวี้หลางหลุดแสดงสีหน้างงงวยออกมา นี่เขาคาดหวังมากไปหรือ
“ก็ใช่สิ ไม่งั้นข้าจะรู้ได้ไงเล่า”
“แน่ใจหรือขอรับ”
“ข้าจะโกหกให้ได้อะไรขึ้นมา”
ถึงนางจะพูดแบบนั้นแต่เขาก็ไม่อยากจะเชื่อเสียเท่าใดนัก เด็กผู้หญิงแปดขวบคนนึงเขียนจดหมายขนาดนั้นได้อย่างไร ตัวหนังสือที่บรรจงทุกตัวอักษร ไหนจะการเลือกใช้คำที่ไม่เหมาะกับเด็กธรรมดาๆเลยสักนิด
“แล้วเรื่องจดหมาย...”
“จดหมายทำไม”
“คุณหนูเขียนเองหรือขอรับ”
“ข้าก็ต้องเขียนเองสิ เจ้าคิดว่าข้าจะให้คนอื่นเขียนจดหมายไถเงินแทนหรือไงกัน ข้าก็อายเป็นนะ”
พอพูดจบก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไป ซินหยานเอามือขึ้นมาปิดปากอย่างลืมตัว
“ขอเงิน ข้าหมายถึงขอเงิน”
“เรื่องสุดท้ายนายท่านฝากมาบอกว่าจะส่งอาจารย์มาให้คุณหนูหนึ่งคนขอรับ และข้าเองก็จะมาเยี่ยมคุณหนูทุกเดือนหากมีปัญหาอะไรสามารถเขียนจดหมายหรือแจ้งข้าได้โดยตรง”
“อาจารย์ ? เอามาทำอะไร”
“อาจารย์ก็ต้องสอนหนังสือสิขอรับคุณหนู” อวี้หลางยิ่งประหลาดใจ สรุปคุณหนูจะฉลาดโตกว่าวัยหรือพัฒนาการช้ากันแน่
“ไม่เอาได้ไหม” ซินหยานกะพริบตาถี่ๆเป็นการขอร้อง
“นายท่านตัดสินใจแล้วขอรับ ถ้าคุณหนูอยากจะปฏิเสธก็เขียนจดหมายหานายท่านหรือจะฝากคำพูดไปกับข้าก็ได้”
“ก็ได้ๆ เรียนก็เรียน”
ซินหยานไม่ได้มีปัญหากับการเรียนหนังสือ แต่การที่ท่านปู่ส่งอาจารย์มาที่นี่จะทำให้นางเคลื่อนไหวได้ลำบากเพราะจะต้องโดนจับจ้องตลอด
“ท่านปู่...” ก่อนที่ลากันซินหยานก็เอ่ยเสียงอู้อี้แต่ก็พอที่จะได้ยิน
“ขอรับ”
“ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง สุขภาพแข็งแรงดีไหม” มันเป็นสิ่งที่ซินหยานอยากรู้มาตลอดตั้งแต่ได้ย้อนกลับมา
ด้วยอายุที่มากขึ้นทำให้สุขภาพของท่านปู่แย่ลงเรื่อยๆจนน่ากังวลใจ
“นายท่านแข็งแรงดีขอรับ” ยิ่งได้คุยกับนางแล้วอวี้หลางยิ่งนึกแปลกใจ คนจวนนั้นไม่เคยมีใครถามถึงนายท่านของเขาด้วยความเป็นห่วงแบบนี้เลยสักคน แต่เด็กน้อยคนนี้ที่ไม่ได้เจอท่านปู่ของนางมาสามปีแล้วกลับถามด้วยความเป็นห่วง
