บทที่ 5 ไฟไหม้
บทที่ 5 ไฟไหม้
“มาแล้วก็นั่งลง” น้าสะใภ้ของซินหยานเอ่ยเสียงเข้มพร้อมกับใบหน้าที่เรียบนิ่ง
“น้าสะใภ้ให้บ่าวไปตามข้ามา มีอะไรจะสั่งสอนหลานหรือเจ้าคะ”
เฉินซินหยานไม่สะทกสะท้านกับสายตาทิ่มแทงของอีกฝ่ายและยังอดไม่ได้ที่จะพูดจาเสียดสีตอบโต้
“เห็นข้ายอมนิดยอมหน่อยเจ้าก็ปีกกล้าขาแข็งขึ้นเยอะเลยสินะ” เซียวฮูหยินใช้สายตากดข่มเด็กน้อยให้นางกลัวแต่ก็ไม่เป็นผล
“ท่านน้าสะใภ้คิดว่าแบบนั้นหรือเจ้าคะ” ซินหยานส่งสายตายียวนเป็นการตอบแทน
นางเคยกลัวสายตาและท่าทางเหล่านี้ไปได้อย่างไรกัน ช่างโง่เขลาสิ้นดี
“หึ เก่งนี่ ไม่ตัวสั่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” คนอายุมากกว่าแสยะยิ้มเยือกเย็น
เซียวฮูหยินที่เคยกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นกับนางก่อนหน้านี้กลับมีความมั่นใจขึ้นมา หากคนพวกนั้นสนใจความเป็นอยู่ของนางเด็กนี่จริงก็คงต้องลงมือกับนางไปแล้วแต่นี่กลับเงียบสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ที่ท่านเรียกข้ามาแค่เพราะจะให้มานั่งฟังท่านถากถางข้าเท่านั้นหรือ”
“ข้าได้ข่าวว่าเจ้าไปเหมาซื้อไหมจากพ่อค้าในตลาดจนหมด”
เซียวฮูหยินก้มตัวลงเพื่อให้สายตาอยู่ระดับเดียวกันกับหลานสาวสุดที่รัก มือเย็นเฉียบลูบไปมาบนใบหน้าจิ้มลิ้ม
“ท่านน้าสะใภ้มีปัญหากับการใช้เงินของข้าหรือ” ซินหยานปรายตามองเรียวนิ้วที่สัมผัสใบหน้าของนาง
ถึงจิตใจจะเข้มแข็งมากขึ้นแค่ไหนแต่ร่างกายของนางในตอนนี้ก็เป็นแค่เด็กแปดขวบจะไปสู้ผู้ใหญ่ได้อย่างไร หากอีกฝ่ายเกิดเสียสติลงไม้ลงมือขึ้นมานางก็คงต้องเจ็บหนัก
หมับ !
คนอายุมากกว่าบีบแก้มของเด็กน้อยจนซินหยานส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ ปลายเล็บแหลมก็จิกที่แก้มจนเป็นรอย
“โอ๊ย ! ท่านเสียสติไปแล้วหรือ” ซินหยานพูดเสียงอู้อี้เพราะขยับปากได้ไม่ถนัด ความเจ็บแสบทำให้นางชาไปทั้งแก้ม
“เจ้านั่นแหละเสียสติไปแล้ว เจ้าคิดว่าพวกเราร่ำรวยขนาดไหนกันถึงใช้เงินซื้อของไร้ค่าพวกนั้นตั้งหกร้อยตำลึง” เซียวฮูหยินสะบัดมือออกจากใบหน้าจิ้มลิ้มจนเด็กน้อยหน้าหันไปตามแรง
ซินหยานพยายามทำใจกล้าไม่แสดงเกรงกลัวอีกฝ่าย แต่เมื่อโดนตะคอกใส่นางก็เผลอสะดุ้งตัวโยนแต่ก็สามารถดึงสติกลับมาได้
“แล้วข้าไปใช้เงินของท่านหรือ ทำไมท่านต้องมาเดือดร้อนกับข้าด้วย” ซินหยานพูดเสียงเรียบ
เฉินซินหยานรวบรวมสติแล้วปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติให้ได้มากที่สุด นางจ้องมองกลับไปที่อีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
“ข้าเป็นฮูหยินของสกุลเซียว ทรัพย์สินเงินทองของสามีข้าก็เหมือนของข้าเจ้ามันคนสกุลเฉินมีสิทธิใดมายุ่งกับของของข้า”
เซียวฮูหยินระเบิดอารมณ์โดยไม่สนใจเลยว่าคนตรงหน้าก็แค่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น
“ข้าว่าพวกเขาคงบอกท่านน้าไม่หมดนะเจ้าคะ”
ซินหยานยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย เรื่องเงินที่นางได้รับจากท่านปู่ก็คงมีแค่ท่านปู่ ท่านตา ตัวนางเองและคนส่งสารเท่านั้นที่รู้ความจริง
การที่น้าสะใภ้ของนางจะสติแตกขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ท่านตาของนางไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดจะให้หลานสาวละลายเงินทิ้งไปทีละหลายร้อยตำลึงได้ตามใจ
“เจ้าพูดเรื่องอันใด” เซียวฮูหยินแผดเสียงลั่น
“ลองเดาดูสิ” ซินหยานไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่ายนางจงใจปั่นประสาทให้อีกฝ่ายมีโทสะมากกว่าเดิม
“เจ้าอย่ามาเล่นลิ้น หรือเจ้าไม่อยากมีมันไว้พล่ามคำพูดน่ารำคาญได้อีก”
“เงินนั่นไม่ใช่ของท่านตา”
“เจ้าพูดอะไร ถ้าไม่ใช่ของท่านพ่อแล้วเจ้าไปเอามันมาจากไหน”
“หึ ข้าอยากให้ท่านเห็นสีหน้าของท่านตอนนี้จริงๆมันช่างน่าตลกสิ้นดี”
เฉินซินหยานขำให้กับความโง่เขลาของอีกฝ่าย ท่านน้าสะใภ้ของนางก็เป็นเช่นนี้ ทั้งๆที่ตัวเองขี้ขลาดขนาดนี้แต่ก็อยากจะวางท่าเป็นใหญ่ในบ้านคอยข่มคนอื่นตลอดเวลา
“มันก็เดาได้ไม่ยาก เงินนั่นท่านปู่ให้ข้ามาต่างหาก” ซินหยานยกยิ้มมุมปากอย่างนึกสมเพชคนตรงหน้า
“ปู่ของเจ้างั้นหรือ เป็นไปไม่ได้” น้าสะใภ้ของซินหยานพึมพำไม่เชื่อคำพูด
“ท่านคิดว่าที่ท่านยังรอดมาถึงตอนนี้ได้เพราะท่านปู่ของข้าไม่สนใจข้างั้นหรือ มันเป็นเพราะข้าขอร้องท่านตาไม่ให้บอกต่างหาก”
“ข้า...ข้า” คนอายุมากกว่าอ้ำๆอึ้งๆไม่รู้ว่าควรจะจบเหตุการณ์นี้อย่างไรถึงจะเป็นผลดีต่อตัวเอง
แปะ ! แปะ !
เฉินซินหยานตบลงบนใบหน้าของน้าสะใภ้ของนางเบาๆ
“ได้สติขึ้นมาแล้วสินะ ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็อย่ามายุ่งกับข้าอีก” พูดจบนางก็เดินออกมาจากที่นั่น ก่อนที่จะพ้นสายตาซินหยานก็หันกลับไปยิ้มให้อย่างคนที่เหนือกว่า
เฉินซินหยานกำลังนั่งอ่านตำราที่โต๊ะหนังสือตัวเล็กด้วยความเพลิดเพลิน รอข่าวเหตุการณ์สำคัญ
ตั้งแต่ที่ปะทะกันวันนั้นน้าสะใภ้ของนางก็ไม่มายุ่งกับนางอีกเลย ซินหยานรู้ดีว่าน้าสะใภ้คงไม่ได้กลัวมากนัก นางแค่กำลังสับสนเท่านั้น แต่มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วเพราะนางวางแผนที่จะกลับไปที่เมืองหลวงในเร็วๆนี้
หากอยากจะแก้ไขหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตก็มีแต่จะต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในใจกลางของมันและค่อยๆแก้ไปทีละปม
ซินหยานได้แต่หวังว่านางจะช่วยครอบครัวเอาไว้ได้ ถึงที่แห่งนั้นจะเป็นเหมือนนรกเต็มไปด้วยคนใจร้าย แต่คนที่ดีกับนางก็เหมือนมือที่คอยฉุดนางขึ้นมาให้พ้นจากวันคืนอันเลวร้าย
“คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” เสียงโวยวายของบ่าวคนสนิททำให้ซินหยานเงยหน้าขึ้นจากตำรา
“มีเรื่องอะไร” ซินหยานถาม
“โกดังสินค้าของสกุลเหยาไฟไหม้เจ้าค่ะ ตอนนี้พวกเขากำลังระดมคนไปช่วยกันดับ”
“งั้นหรือ” ซินหยานอมยิ้มมุมปาก
สกุลเหยาคือตระกูลพ่อค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ พวกเขาคือคนที่ขายไหมกดราคาต่ำจนพ่อค้ารายอื่นขายสินค้าไม่ได้ เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้นี่แหละที่ทำให้ราคาของไหมสูงขึ้นหลายเท่าตัว
“คุณหนูไม่ตกใจหรือ นั่นมันไฟไหม้เลยนะเจ้าคะ” ซือเจียถามด้วยความแปลกใจ
ปฏิกิริยาคุณหนูของนางแปลกเกินไปราวกับคนที่รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
การที่คุณหนูของนางไปรวบรวมไหมเอาไว้ก่อนหน้าเพียงไม่กี่วันเหมือนดูเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป และโกดังที่ไฟไหม้ยังเป็นโกดังเก็บไหมอีกด้วย
“ไฟไหม้แค่นั้นสกุลเหยาไม่สะทกสะท้านมากนักหรอก”
“คุณหนูดูพูดเข้าสิเจ้าคะ” คำพูดแต่ละคำสมกับเป็นเด็กแปดขวบที่ไหนกัน
“เรื่องนั้นช่างมันเถิด เจ้าไปติดต่อพ่อค้าไหมให้ข้าทีบอกเขาว่าให้เตรียมตัวอีกไม่กี่วันข้าจะไปรับสินค้าตามที่ตกลงกันไว้”
เหตุการณ์ไฟไหม้โกดังเก็บไหมของสกุลเหยาส่งผลกระทบใหญ่ต่อกิจการของเขาไม่น้อย เพราะไหมพวกนั้นส่วนใหญ่แล้วมีเจ้าของแล้วทั้งนั้น
พวกเขาต้องทุ่มเงินกว้านซื้อไหมไปทั่วเมืองเพื่อนำมาส่งมอบให้กับลูกค้าตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ภายในเวลาไม่กี่วันราคาก็พุ่งสูงจนเกือบถึงสี่เท่าตัว และคนที่มีสินค้าในมือมากที่สุดคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฉินซินหยาน
“ข้ามารับสินค้าตามที่ตกลงกันไว้เจ้าค่ะ” ซินหยานบอกกับพ่อค้าคนเดิมที่นางซื้อไหมจากพวกเขา
“ข้ามีเรื่องอยากจะสอบถามคุณหนูสักเรื่อง”
“หรือว่าท่านจะตุกติก” ซินหยานแสร้งขมวดคิ้วทำหน้าไม่ไว้ใจ
“ข้าไม่กล้าๆ เพียงแต่มีคนมาติดต่อขอซื้อไหมพวกนี้ทั้งหมดเลยขอรับ”
เขาเองก็เสียดายไม่น้อยที่พลาดโอกาสดีๆอย่างนี้ไป แต่ถ้าคุณหนูท่านนี้ไม่ช่วยซื้อไว้ก่อนหน้าเขาเองก็คงต้องเดือดร้อนเหมือนกัน
“เขาให้ราคาเท่าไหร่”
“ทั้งหมดสองพันสองร้อยตำลึงขอรับ” คนพูดเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าไหมของเขาจะขายได้ราคาสูงลิ่วถึงขนาดนี้ คุณหนูท่านนี้ช่างโชคดีเสียจริง
“อืม พวกสกุลเหยาสินะ” ซินหยานพึมพำกับตัวเอง
“ท่านทราบได้อย่างไร” เขาหูผึ่งทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เด็กน้อยตรงหน้ากล่าว
“ก็เดาได้ไม่ยาก เอาเป็นว่าขายให้พวกเขาไปข้าจะรับเงินไปแค่สองพันตำลึงส่วนที่เหลือถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่พวกท่านช่วยเก็บสินค้าไว้แล้วกัน”
“ขอบคุณขอรับ ขอบคุณ คุณหนูท่านช่างมีเมตตามากจริงๆ” เขารีบคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความซาบซึ้งแต่ซินหยานก็ห้ามไว้ก่อน
ในชาติที่แล้วเหตุการณ์ไฟไหม้ส่งผลให้ไหมราคาสูงก็เพราะพวกสกุลเหยากดราคาจนพ่อค้าเจ้าอื่นขายไม่ได้และขนของกลับบ้านเกิดของตนไปกันหมด ก่อนที่สินค้าของสกุลเหยาไหม้หมดพ่อค้าพวกนั้นก็ไม่อยู่ที่เมืองนี้แล้ว การจะหาสินค้ามาจากที่อื่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยมันต้องใช้เวลาพอควร
เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง สกุลเหยาไม่สามารถหาสินค้าเพื่อส่งให้ลูกค้าของพวกเขาตามที่ตกลงกันได้ ชาวบ้านก็ไม่สามารถหาซื้อผ้ามาทำเครื่องนุ่งห่มเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บได้ อาศัยพ่อค้ารายย่อยที่มีสินค้าอยู่ในมือน้อยนิดแย่งกันซื้อในราคาสูงลิ่ว
เมื่อทุกอย่าถูกแก้ไขโดยซินหยานแล้วสกุลเหยาก็ไม่สามารถขึ้นราคาไหมได้เพราะได้ทำสัญญากันไปแล้ว คนที่เดือดร้อนในครั้งนี้ก็มีแค่สกุลเหยาฝ่ายเดียวที่ต้องสูญเสียเงินมากมาย
