บทที่ 3 การแสดงของซินซิน
บทที่ 3 การแสดงของซินซิน
“เจ้าเขียนสิ่งใดลงไปในจดหมายกันแน่ท่านปู่ของเจ้าถึงยอมมอบเงินให้มากมายถึงเพียงนี้”
“เป็นความลับเจ้าค่ะ”
“ตามใจเจ้าเถิด แต่รับปากตามาหนึ่งเรื่องได้หรือไม่”
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“หากมีเรื่องลำบากให้มาบอกตาถึงตาจะช่วยไม่ได้มากแต่ตาก็จะพยายาม” เขาบอกน้ำเสียงจริงจัง
ซินหยานจ้องมองเข้าไปในแววตาที่ทอความรู้สึกผิดของผู้เป็นตา นางเข้าใจดีว่าท่านตาก็แค่คนแก่ที่พยายามประคับประคองครอบครัวอย่างเต็มที่
“ข้าจะรับปากถ้าท่านตาทำตามคำขอของข้าเจ้าค่ะ” คำขอนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากมายแค่ให้ท่านตาของนางช่วยทำการแสดงบางอย่างเท่านั้น
“เจ้าเป็นบ่าวอย่างไรกัน คุณหนูของเจ้าหายไปไหนเจ้าก็ไม่รู้หรือ” เสียงตะคอกของชายวัยห้าสิบดังลั่นทั่วลานบ้าน
“บ่าว ฮึก ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
เสียงโวยวายของเจ้าของบ้านทำให้ทั้งบ่าวและนายของจวนกรูกันมามุงดู ไม่บ่อยนักที่นายท่านเซียวจะโมโหถึงขั้นนี้
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” เซียวฮูหยินหรือน้าสะใภ้ของซินหยานเอ่ยถามพ่อสามีของนาง
นางเองก็ประหลาดใจไม่น้อยที่พ่อสามีจะเกรี้ยวกราดถึงได้ขนาดนี้ จนตัวนางเองก็วางตัวไม่ถูก
“ซินซินของข้าหายไปไหนไม่มีใครรู้” เขาพูดด้วยความกระฟัดกระเฟียด
“นางก็คงจะไปเล่นที่ไหนสักที่เท่านั้นแหละเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความไม่ใส่ใจ ก็แค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งจะใส่ใจอะไรกับมันนัก
“หลานข้าทั้งคนเจ้ากล้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร” เขาตะคอกลูกสะใภ้เสียงเข้ม แววตาแสดงความโกรธอย่างชัดเจน
“เอ่อ...คุณหนูของเจ้านางได้บอกหรือไม่ว่าจะไปไหน” เซียวฮูหยินเปลี่ยนทิศทางไปถามกับซือเจียที่นั่งคุกเข่าร้องไห้น้ำตานองหน้า
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ คุณหนูบอกว่าหิวเลยจะออกไปหาอะไรกิน” ซือเจียพูดทั้งน้ำตา นางอายุมากกว่าซินหยานแค่ไม่กี่ปีจะรับแรงกดดันจากผู้ใหญ่ถึงสองคนได้อย่างไร
“หิวบ้าหิวบออะไรกันที่บ้านไม่มีข้าวให้กินหรืองะ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดีก็ราวกับว่านึกบางอย่างขึ้นมาได้
"ฮูหยินท่านสั่งให้คุณหนูกินได้แต่ข้าวต้ม คุณหนูก็เลยทนหิวไม่ไหวเจ้าค่ะ" ซือเจียหลับตาพูดด้วยความกลัว
รอยช้ำจากที่โดนตบเมื่อวันก่อนพึ่งจะหายดีซือเจียเองก็กลัวว่าจะต้องโดนทำร้ายร่างกายอีกครั้ง
“นั่นล้วนเป็นเพราะข้าหวังดี เจ้าอย่ามาพูดจาให้ร้ายข้าไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
นางพูดด้วยน้ำเสียงปกติแต่กลับใช้สายตาข่มขู่บ่าวให้เงียบปาก
“เจ้ายังไม่รู้ความผิดของตัวเองอีกหรือ แล้วนี่ข้าจะตอบใต้เท้าเฉินได้อย่างไรว่าหลานสาวเขาหายตัวไป” เซียวเฉิงคุนถามเสียงเข้ม
“ท่านพ่อท่านพูดเรื่องอะไรกัน ใครต่างก็รู้ว่านางโดนทิ้งกลายเป็นเด็กกำพร้าไปแล้ว”
“นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าล้วนคิดไปเองทั้งนั้น เมื่อวันก่อนท่านอัครมหาเสนาบดียังเขียนจดหมายมาถามความเป็นอยู่ของซินเอ๋อร์อยู่เลย” เขาส่ายหน้าด้วยความเหลืออด
“ไม่จริง นางโดนทิ้งแล้ว พวกเขาจะมาสนใจนางทำไมกัน”
เซียวฮูหยินหอบหายใจแรง นางไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นางรู้สึกชาไปทั้งตัวจนแทบยืนไม่อยู่
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าหานางไม่พบก็เตรียมคำแก้ตัวไว้ให้ดีแล้วกัน เกรงว่าคงจะไม่ได้มีแค่เจ้าที่ต้องเดือดร้อน”
เซียวเฉิงคุนพูดทิ้งท้ายก่อนจะหันไปสั่งให้คนออกตามหาหลานสาว
เมื่อพ่อสามีของนางเดินจากไปเซียวฮูหยินก็ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ถ้าคนพวกนั้นรู้ว่านางทำอะไรกับเด็กนั่นไปบ้างเกรงว่าหายนะคงมาเยือนนางและครอบครัวในไม่ช้า
“หานางเจอหรือยัง” เซียวเฉิงคุนถามลูกสะใภ้อย่างร้อนรน
หลานสาวของเขาหายตัวไปเป็นวันที่สองแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใดลูกสะใภ้ของเขาก็เริ่มสีหน้าแย่ลงเรื่อยๆ
“ยังไม่เจอขอรับ”
“เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะท่านพ่อ” เซียวฮูหยินที่ใต้ตาดำคล้ำจากการอดนอนทั้งคืนถามเสียงสั่น
ใครเล่าจะไปคาดคิดว่าเรื่องราวมันจะบานปลายถึงขนาดนี้ ถ้าหากวันนี้ยังหาเด็กคนนั้นไม่เจอคงเป็นเรื่องใหญ่แน่
“ปัญหาที่เจ้าก่อเจ้าก็ต้องหาทางแก้เองสิ ข้าก็บอกแล้วว่าให้ใจดีกับหลาน สักนิดก็ยังดีแล้วผลเป็นอย่างไรเล่า”
เซียวฮูหยินไม่ได้โต้ตอบคำพูดของพ่อสามีอีก นางกัดเล็บเพื่อระบายความเครียดจนมีรอยแผลเล็กๆตรงปลายนิ้ว
เวลาล่วงเลยจนไปถึงช่วงเย็น บรรยากาศในบ้านยิ่งดูอึมครึมกว่าตอนเช้า เซียวฮูหยินที่สั่นไปทั้งตัวราวกับคนเสียสติยังคงนั่งอยู่ลานบ้านเพื่อรอรับข่าวสาร
“เจอแล้วๆ เจอคุณหนูแล้ว” เสียงของใครสักคนดังมาจากทางหน้าบ้านเรียกความสนใจของคนในบ้านให้ต้องทั้งวิ่งทั้งเดินออกมาดู
“เจอแล้วหรือ ! ” เซียวฮูหยินหยัดกายลุกขึ้นอย่างลืมตัวด้วยความรวดเร็ว
ใบหน้าที่เคยซีดเผือดดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง ราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก
“ซินเอ๋อร์ เร็วเข้ารีบพาหลานข้าเข้าบ้าน” เสียงของผู้เป็นตารีบตะโกนเรียกหาหลานสาวของเขาทันทีที่ได้ข่าว
“นายท่าน คุณหนูตัวร้อนราวกับไฟเลยเจ้าค่ะ” ซือเจียบอกเสียงพร่าขอบตาของนางแดงก่ำ
“โถ่ หลานตาน่าสงสารจริงๆเลย”
“เกิดอะไรขึ้นทำไมนางถึงมีสภาพเช่นนี้ไปได้” เซียวฮูหยินถาม
เฉินซินหยานในตอนนี้ใบหน้าซีดเผือดไร้สีสันราวกับคนป่วยหนัก ไหนจะริมฝีปากที่ซีดเซียวจนน่ากลัว
“เมื่อวานคุณหนูแอบออกไปหาของกินในป่าด้วยความหิวโหย แต่พลาดตกน้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่โชคยังดีชาวบ้านผ่านไปช่วยไว้ได้ทันขอรับ” บ่าวที่เป็นคนไปรับซินหยานรีบอธิบายให้ฟัง
“ตกน้ำ ! เจ้าดูสิว่าเจ้าทำอะไรกับเด็กตัวแค่นี้ถ้านางเป็นอะไรไปอย่าว่าแต่ปู่ของนางเลยข้าก็จะไม่ไว้ชีวิตเจ้าเช่นกัน”
“ข้า...ข้าไม่ได้ตั้งใจ ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว” เซียวฮูหยินคุกเข่ากับพื้นทั้งน้ำตา
“นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจซินเอ๋อร์ยังเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้าเจ้าตั้งใจหลานสาวข้าจะไม่ตายไปเลยหรือนางหญิงชั่ว”
“...” คนโดนตะคอกใส่ไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก
ซินหยานถูกพากลับไปนอนในห้องของนาง ตามมาด้วยซือเจียและท่านตาของนาง
“เลิกแกล้งได้แล้ว” ท่านตาของนางบอกเสียงเรียบ ชายชรายืนกอดอกอยู่ข้างเตียงของหลานสาวพลางส่งสายตาดุๆไปให้เด็กน้อยบนเตียง
ร่างบนเตียงลืมตาพลางฉีกยิ้มให้คนอายุมากกว่าจนท่านตาของนางใจอ่อนลดท่าทีเคร่งขรึมลง
“ท่านตาแสดงเก่งมากเลยเจ้าค่ะ” ซินหยานกระซิบเสียงเบา และยังยกนิ้วโป้งให้เขาอีกด้วย
“เจ้าเล่นแรงเกินไปหรือเปล่า”
“ถ้าเทียบกับสิ่งที่นางทำนี่ยังนับว่าน้อยไป”
“ซินซินนะซินซิน ตอนเห็นสีหน้าเจ้าตาใจหายคิดว่าเจ้าป่วยจริงๆเสียอีก”
“เนียนมากเลยใช่ไหมเจ้าคะ”
“หึ เกือบแล้วถ้าตาไม่เห็นสิ่งนี้ตอนที่ลูบใบหน้าของเจ้าเสียก่อน” เขาว่าพร้อมหันมองฝ่ามือตัวเองที่มีผงแป้งสีขาวติดตรงปลายนิ้ว
“นี่เรียกว่าอุปกรณ์ช่วยเสริมความสมจริงเจ้าค่ะ”
“อย่าทำอะไรแบบนี้อีกเลยนะซินเอ๋อร์ เจ้าไปอยู่นอกบ้านตาเป็นห่วง”
เฉิงคุณหยิบผ้าที่บ่าวนำมาให้และช่วยเช็ดแป้งที่ติดอยู่บนใบหน้าหลานสาวอย่างทะนุถนอม
“นางคงไม่กล้าทำอะไรข้าไปอีกสักพักเลยเจ้าค่ะ”
“ช่วงนี้เจ้าไปเจออะไรมา ทำไมถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้” มันเป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในความคิดของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลานสาวทั้งคนเปลี่ยนไปเพียงนิดทำไมเขาจะรับรู้ไม่ได้ นี่นางเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเลยด้วยซ้ำ
“ข้าฝันเจ้าค่ะ” นอกจากเหตุผลนี้แล้วคงจะไม่มีอะไรที่จะใช้อธิบายได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ย้อนเวลางั้นหรือถ้าพูดไปคงโดนหาว่าเสียสติไปแล้ว
“ฝัน ? ”
“เจ้าค่ะ ในฝันมันน่ากลัวและทรมานมาก ผู้คนต่างรังแกข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนข้ารู้สึกว่าข้าคงจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้คนอื่นกล้ามารังแกข้าได้อีก” ถึงจะพูดว่ามันเป็นแค่ความฝันแต่ทั้งสีหน้าและแววตาของนางกลับแสดงออกถึงความเจ็บปวดจนคนมองใจเสีย
