บท
ตั้งค่า

สาม ย้อนเวลามาเหยียบวังอีกครา

หลายวันผ่านไปเย่วซินเดินทางออกมาจากจวนตระกูล

เย่วอีกหน ครานี้นางเลือกใช้วิธีเดินทางโดยให้รถม้าไปส่งที่ซอยขนาดใหญ่แห่งหนึ่งหลังจากนั้นให้รถจอดรออยู่ตรงนี้ส่วนนางและผู้คุ้มกันหนุ่มอีกสองคนเดินเท้าไปยังจุดหมายปลายทาง

ปลายทางของนางคือวังชินอ๋องที่นางเพิ่งจากลาไปเมื่อคืนวาน

ไม่คิดเลยว่าดวงนางจะยังคงวนเวียนอยู่กับที่นี่ เฮ้อ....

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีโจรขโมยถุงเงินข้า”

พลั่ก!

เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นพร้อมกับแรงชนจากชายปริศนาที่วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือชนเย่วซินผู้เดินอยู่หน้าสุดจนเกือบปลิว

“โอ๊ย!”

“คุณหนูรองเป็นอันใดหรือไม่ขอรับ”

“มะ ไม่ นั่น บุรุษที่ชนข้าเป็นขโมย ตามไปเร็ว!”

“ขะ ขอรับ”

บุรุษปริศนาชนแล้วทำถุงผ้าสีชมพูปักลายดอกเหมยตก แน่นอนว่าชายหน้าโหดปกปิดใบหน้าด้วยผ้าสีดำไม่มีทางมีรสนิยมใช้ถุงผ้าหวานแหววเช่นนี้ เย่วซินได้ยินเสียงร้องตะโกนแม้ว่าห่างไกลแต่สมองนางผูกเรื่องราวเชื่อมโยงกันได้อย่างรวดเร็ว

โจรขโมยของผู้อื่นมาน่ะสิ

นางเองก็วิ่งตามบุรุษผู้นั้นไปเช่นกัน

เห็นเย่วซินตัวผอมเพรียวบอบบางเช่นนี้ สมัยตอนอายุสิบหนาวนางมีโอกาสได้ร่ำเรียนวิชาการต่อสู้จากสำนักบนเขาใกล้กับสวนสมุนไพรที่บ้านนอกของนางมาหลายปีเชียวนะ

เรื่องการวิ่ง ความว่องไวของนางจึงมิเป็นรองบุรุษผู้ใดโดยง่าย แล้วยิ่งนางตัวเล็กเพรียวลมเช่นนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เย่วซินวิ่งแยกกับผู้คุ้มกันร่างบึกของตระกูลทั้งสองตามโจรที่มันเลี้ยวเข้าซอยเปลี่ยวอีกซอยไปอย่างว่องไว

“หยุดนะไอ้หัวขโมย”

นางคิดว่าจะวิ่งทะลุไปดักโจรผู้นั้นโดยการวิ่งเข้าไปในซอยนี้และคิดว่าจะอ้อมไปหามัน

ตุ้บ!

เอาอีกแล้วเย่วซินวิ่งจนกับคนอีกแล้วตอนเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ใครไปคิดว่าว่ามันจะมีคนวิ่งย้อนเข้ามาด้วย

พอเงยหน้าขึ้นมามองฝ่ายตรงข้ามเป็นบุรุษชุดดำปกปิดใบหน้า

หรือเป็นเจ้าโจรผู้นั้น?

วิ่งย้อนกลับมาทำไม?

ช่างเถอะนางมิมีเวลาคิด หนนี้เย่วซินไม่รอให้มันลุกขึ้นวิ่งหนีอีกต่อไป หญิงสาวจึงใช้วิชาการต่อสู้ที่มีติดตัว อีกฝ่ายเป็นคนตัวใหญ่ดังนั้นนางต้องใช้ความรวดเร็วของตนเองให้เป็นประโยชน์จับพลิกแขนของมันไขว้ไว้ที่ข้างหลังและทุ่มน้ำหนักตัวทำให้มันลงไปนอนบนพื้นทันที

นั่งทับอย่างที่อาจารย์สอนมิให้คนตัวโตแรงเยอะกว่าดิ้นได้

ที่นี้นางก็รอคอยให้ผู้คุ้มกันมาจัดการต่อ

“ทำร้ายสตรี แรงกายเจ้าก็มีมากมายไยมิทำมาอาชีพสุจริตหะ!”

เย่วซินได้กลิ่นเลือด และกลิ่นสมุนไพรแรงมาก...เหมือนอีกฝ่ายจะบาดเจ็บอยู่

ลืมบอกไปเย่วซินเป็นสตรีที่ความสามารถพิเศษติดตัวมาอย่างหนึ่ง คือนางเป็นคนที่ประสาทสัมผัสทางด้านการได้รับกลิ่นดีมาก สามารถแยกกลิ่นต่างๆที่รู้จักได้อย่างแม่นยำแล้วยิ่งนางคลุกคลีใกล้ชิดกับสมุนไพรนานาชนิดมาตั้งแต่เกิดจึงทำให้เย่วซินรู้ว่าสมุนไพรที่กำลังได้กลิ่นเหล่านี้เป็นสมุนไพรสำหรับรักษาแผล

คลังสมุนไพรในหัวสมองของเย่วซินเวลานี้กว้างใหญ่ยิ่งนักเพราะนางเป็นสตรีที่อยู่แล้วชาติหนึ่ง

ที่แท้มันก็บาดเจ็บ ก็ว่าอยู่ไยนางจึงจัดการบุรุษในผ้าคลุมหน้าสีดำอีกได้ง่ายกว่าปกติ

“โอ๊ย”

ขณะที่เย่วซินเผลอคิดเพลินบุรุษที่นางคิดว่าเสียทีให้นางก็สามารถสลัดเย่วซินที่จับเขาอยู่ออกได้ และยังไม่ทันที่หญิงสาวจะลุกขึ้นยืนอีกฝ่ายไหวตัวทัน

ชายหนุ่มคลุมหน้าวิ่งหนีหายไปไกลแล้ว

“เร็วยิ่งนัก”

“คุณหนู คุณหนูอยู่ที่ใดขอรับ”

“คุณหนูอยู่แถวนี้หรือไม่ พวกเราจับตัวหัวขโมยได้แล้วขอรับ”

“หืม?”

จะเป็นไปได้อย่างไรก็ในเมื่อนางเห็นหัวขโมยคลุมหน้าวิ่งหายไปกับตา

ทว่าร่างใหญ่ของหัวขโมยที่ผู้คุ้มกันของตระกูลจับกุมได้เป็นหลักฐานยืนยันอย่างดีว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นคือความจริง

แถมนางยังไม่ได้กลิ่นเลือดกลิ่นสมุนไพรรุนแรงใดใดทั้งสิ้น

“พวกเจ้าคนหนึ่งเอาเขาไปส่งทางการ ส่วนเจ้าไปทำธุระกับข้าต่อ”

ช่างเถอะ เย่วซินเลือกเก็บความข้องใจสงสัยเอาไว้ในอกเพราะต้องไปทำธุระสำคัญของตนเองต่อก่อน

บุรุษที่นางปะทะผู้นั้นเป็นใครก็ช่าง นางหาได้ต้องสนใจไม่!

ณ วังชินอ๋อง

ใช้เวลาเดินเท้าประมาณสองก้านธูปจึงถึงจุดหมายปลายทางในครั้งนี้

ใช่แล้ว เย่วซินมาที่วังชินอ๋อง วังของอดีตสามีหนึ่งวันของนางเพื่อต้องการเจรจาตกลงขอคุยเรื่องการเข้าเรียนที่สำนักการศึกษาหลวงของน้องชาย

“ข้ามาขอเข้าเฝ้าท่านอ๋องเจ้าค่ะ”

ทหารเฝ้าหน้าประตูวังจำเย่วซินได้กวาดไล่สายตามองนางเท้าจรดศีรษะก่อนไปจะมองเขม่นนางหนหนึ่งแล้วค่อยเดินหายเข้าไปด้านในวัง และไม่นานก็เดินกลับออกมาพร้อมกับท่านพ่อบ้านเฝิ่นหลงเซ่อ พ่อบ้านผู้ดูแลวังชินอ๋องแห่งนี้มานานเย่วซินจำชายชราคนนี้ได้

“แม่นางตามข้าเข้ามา”

สายตาที่มองมายังนางของพ่อบ้านชรามิได้ดีไปกว่าของทหารลูกน้องของเขา

แต่ก็ยังดีกว่ามิยอมให้นางเข้ามาข้างในวัง ถือว่ายังมิใจร้ายต่อกันมากเกินไป แสดงว่าเจ้านายของพวกเขาอาจหายดีหรือไม่ก็ดีขึ้นมากกว่าเดิมไม่น้อย ไม่เช่นนั้นเย่วซินคงไม่ได้รับการต้อนรับเช่นนี้หรอก

เกรงว่าจะโดนจับโยนออกไปเสียมากกว่า

“ท่านอ๋องอาการยังมิหายดีเท่าไหร่นัก มิอาจให้แม่นางเข้าพบได้นาน ท่านมีเวลาเพียงหนึ่งถ้วยน้ำชาเท่านั้น”

หนึ่งถ้วยน้ำชา! เท่านั้น!

เกินไปมาก ช่างเถอะเย่วซินจะพยายามใช้เวลาทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า

“ไหนเล่าเจ้านายของท่าน”

หญิงสาวโดนพาเข้ามาในห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่งเบื้องหน้านางหาได้มีโต๊ะรับแขก หรือโต๊ะเอาไว้วางถาดน้ำชาเลยสักตัว

ให้นางนั่งพื้นหรือ?

ไม่ต้องพูดถึงคนที่นางต้องการเข้าพบ ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของเขา

“ท่านอ๋องนั่งฟังสิ่งที่ท่านพูดอยู่หลังม่าน เชิญท่านพูดธุระของตนเองมาได้”

หลังม่าน?

เย่วซินมองไปด้านหน้าปรากฏม่านสีดำผืนใหญ่อยู่จริง ม่านนั้นทำจากผ้าทึบแสงจึงไม่สามารถมองทะลุไปด้านหลังได้

คุยกับม่านก็คุยกับม่าน อย่างไรเย่วซินก็มิมีทางเลือกมากนักอยู่ดี

“หม่อมฉันมาเพื่อสอบถามเรื่องของน้องชายคนเล็กของหม่อมฉันเพคะ”

“....” ไร้เสียงตอบรับ

“เจ้านายท่านอยู่ข้างหลังแน่อย่างนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ” เย่วซินหันมากระซิบถามพ่อบ้านชราและได้รับการคำตอบเป็นดวงตาเฉยชา

หญิงสาวกลืนน้ำลาย

“เนื่องจากท่านมอบหนังสือหย่าขาดกับหม่อมฉันไปแล้วตามข้อตกลงเมื่อวันก่อน ทว่ามีบางเรื่องที่ยังมิได้ตกลงให้ชัดเจนแก่กันคือเรื่องที่ท่านจะเป็นผู้รับรองคุณสมบัติให้แก่บุตรและบุตรีของตระกูลหม่อมฉัน ท่านบอกว่าหากพวกหม่อมฉันยอมปลูกสมุนไพรให้แก่ท่านเพียงผู้เดียวท่านจะเป็นธุระฝากพวกเราเข้าเรียนที่สำนักการศึกษาหลวง ข้อตกลงนี้ยังเป็นจริงอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“....”

เย่วซินขมวดคิ้วเพราะนางไม่ได้รับคำตอบใดเลยสักคำตั้งแต่เข้ามา

“ข้อตกลงฉบับเก่ากับฉบับใหม่มิเกี่ยวกัน หม่อมฉันเกรงว่าท่านอ๋องอาจสับสนจึงมาเพื่อชี้ความให้กระจ่างจะได้มิมีปัญหาในภายหลังเพคะ ท่านอ๋องมิทรงขัดหรือสงสัยเรื่องใดใช่หรือไม่เพคะ”

“....”

“เหอะ เป็นเจ้าที่เอ่ยละทิ้งทองคำเอง ทว่าวันนี้ไยจึงวิ่งเข้ามาพึ่งพาทองคำนี้เสียเล่า เสียใจงั้นรึที่ตัดสินใจหย่า หึ”

แน่นอนว่าประโยคยาวยืดเช่นนี้มิได้ออกมาจากปากของคนหลังม่าน ทว่าดังออกมาจากปากของพ่อบ้านชราผู้กำลังอดทนอดกลั้นมิให้เดือดดาลไปมากกว่านี้

“ข้ามิเคยคิดจะกลืนน้ำลายที่พ่นออกไปจากปากตนหรอกเจ้าค่ะท่านพ่อบ้าน”

“เหอะ”

เย่วซินปลงใจในท่าทีเกลียดชังกันของอีกฝ่าย นางหันหน้ามาสนใจโจวซินเหยียนหลังม่านดังเดิม

คนที่อยากให้พูดก็เงียบเป็นเป่าสาก มิรู้ว่ากลัวดอกพิกุลทองจะร่วงออกจากปากหรือกระไร

“หากท่านอ๋องยังเงียบ หม่อมฉันจะถือว่าพระองค์รับทราบและไม่ปฏิเสธกับคำพูดของหม่อมฉันนะเพคะ”

“ข้ามีข้อแลกเปลี่ยน”

ในที่สุดเย่วซินก็ได้ยินเสียงของเขาสักที

“หากมิเกินความสามารถ หม่อมฉันยินดีเพคะ”

“เพียงตอบคำถามข้ามาหนึ่งข้อ”

“ได้เพคะ”

“บอกเหตุผลที่เจ้าต้องการหนังสือหย่าตามความสัตย์จริง”

“ข้า....” ตกใจอยู่เหมือนกันที่อีกฝ่ายถามนางด้วยคำถามไร้สาระนี้

โจวซินเหยียนไม่เคยสนใจใครนอกจากตัวเขาเองมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว เขาเย็นชา พูดน้อย มิเคยสนใจความรู้สึกของผู้ใด

ขนาดนางซึ่งเป็นภรรยาของเขายังมิเคยได้รับความห่วงใยเลยสักครั้งในชาติที่แล้ว

“หม่อมฉันเพียงต้องการใช้ชีวิตที่สุขสงบกับครอบครัวเพคะ การที่สตรีสามัญเช่นหม่อมฉันแต่งเข้าวังพระองค์ นอกจากเป็นการทำอันเกินกำลัง ในอนาคตคงมีแต่คนดูถูก ว่าร้ายนินทา ชีวิตในวันข้างหน้ามีแต่ขวากหนามแน่ๆ หม่อมฉันเป็นสตรีใจเสาะ มิสามารถรับสิ่งเหล่านั้นไหวจึงยอมพ่ายแพ้ตั้งแต่ตอนนี้เสียดีกว่าเพคะ”

จะให้นางบอกว่าเพราะนางรู้อนาคตของตนเองว่าหากแต่งกับเขาต่อไปครอบครัวของนางจะถูกหลอกใช้ก็กระไรอยู่

เย่วซินมิได้เอ่ยโป้ปดนะ เพียงแค่พูดอ้อมมิได้พูดความจริงทั้งหมดก็เท่านั้น

นางมิสามารถเห็นสีหน้าของคนถามได้นางจึงมิรู้ว่าท่านอ๋องคิดเช่นไรอยู่

“เหอะ ใจเสาะขนาดริกล้ามาเข้าเฝ้าข้าด้วยตัวคนเดียวเชียว”

“....”

เขาไม่เชื่อนางหรือ

“บิดามารดาหม่อมฉันติดธุระต่างหากเล่าเพคะ หม่อมฉันจึงไม่มีทางเลือก”

“ตกลง ข้าจะยังคงช่วยเหลือน้องชายของเจ้าให้เข้าสำนักการศึกษาหลวงเช่นเดิม เจ้ากลับออกไปได้แล้ว”

“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง”

เย่วซินฉีกยิ้มพลางชกมือตีอกตนเองดีใจพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บอาการ ในเมื่อเจ้าบ้านเอ่ยปากไล่เช่นนั้นเย่วซินจึงเดินออกจากห้องรับแขกจากไป

ยังไม่ทันถึงหนึ่งถ้วยน้ำชาดีพ่อบ้านชราที่บนใบหน้าแสดงอารมณ์ความไม่พอใจอย่างชัดเจนเดินกลับเข้ามาที่ห้องเดิมหลังจากเดินออกไปส่งแขกเรียบร้อย

ทว่าหนนี้พ่อบ้านชราเดินอ้อมเข้าไปยังด้านหลังม่านเพื่อเข้าพบเจ้านายของตนเอง

“ท่านอ๋องทรงใจอ่อนหรือพะย่ะค่ะ พวกนางมิสมควรได้รับการช่วยเหลือใดทั้งสิ้น ทรงจำไม่ได้หรือพะย่ะค่ะคืนนั้นพระองค์เกือบสิ้นพระชนมายุเพราะอาจได้รับยามิทันเวลา...เพราะนาง นางผู้นี้ทั้งนั้น”

“เจ้าเคยเห็นข้าใจอ่อนด้วยรึ พ่อบ้านหลงเซ่อ”

“มิเคย แต่เมื่อสักครู่....”

“เจ้าชราอายุจนปูนนี้แล้วมิรู้แจ้งหรือว่าในสำนักการศึกษาหลวงนั้นเป็นอย่างไร และพวกนางสถานะเป็นอย่างไรหากเข้าไปที่นั่น”

ทันทีที่โจวซินเหยียนพูดจบเฝิ่นหลงเซ่อ ดวงตาฝ้าฟางตามความชราพลันเปล่งประกายโชติช่วง กลับลำวาจาตนเองแทบมิทัน

“ท่านอ๋องชาญฉลาดยิ่งนักพะย่ะค่ะ ในที่แห่งนั้นมีแต่บุตร บุตรีชนชั้นสูง หากใครที่มิเข้าพวก เข้าไปก็มิต่างอันใดกับโยนเหยื่ออันโอชะเข้าไปในฝูงหมาป่าหิวโซ ฮ่า ฮ่า สมน้ำหน้ายิ่งนัก เพราะนางทำตัวนางเองทั้งนั้น ท่านอ๋องเพียงนั่งอยู่เฉยๆก็จัดการสั่งสอนสตรีที่ริกล้าขอหย่าพระองค์ก่อนได้อย่างง่ายดาย ฮ่าฮ่า....”

“...”

“ทีแรกที่เห็นหน้านางกระหม่อมอยากให้ทหารโยนนางทิ้งออกจากเขตวังของพระองค์ไป ทว่าพอมาฟังวิธีแก้แค้นของพระองค์ วิธีของกระหม่อมดูเป็นคนดีไปเลยพะย่ะค่ะ ฮ่า...”

“...”

โจวซินเหยียนยังคงนิ่งเงียบไร้วาจาทว่าสายตาของชายหนุ่มทอดสายตาตามแผ่นหลังสตรีที่เขาเพิ่งมอบหนังสือหย่าไปหยกๆจนกระทั่งหายจากสายตาไปนานแล้วก็ยังคงมองร่องรอยที่นางเดินผ่านไปอยู่ด้วยสายตามิอาจคาดเดาความคิดได้

โจวซินเหยียนมองราวกับต้องการทะลุทะลวงทุกซอกมุมความคิดของนางให้ปรุโปร่ง ราวกับต้องการค้นหาเหตุผลแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในคำกล่าวอ้างขี้ขลาดเหล่านั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel