สอง ย้อนเวลามาหลุดพ้น (เหรอ)
“นี่พวกเจ้าได้ยินข่าวหรือไม่ วังชินอ๋องประกาศตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเย่วแล้วหนา”
“ตระกูลเย่ว ตระกูลของฝ่ายพระชายาท่านอ๋องมิใช่หรือ เมื่อวานเพิ่งแต่งเข้าวังไป เหตุใดวันนี้พวกเขาจึงทำเช่นนั้นเล่า”
“ก็เห็นว่าเมื่อแต่งฝ่ายสามีก็มอบหนังสือหย่าให้พระชายาเช้าวันนี้เลยน่ะสิ มิรู้ว่าฝ่ายหญิงทำสิ่งใดผิดจึงโดนทอดทิ้งเช่นนั้น”
“ข้ามิรู้จะสงสารหรือสมเพชนางดี เป็นบุตรสาวพ่อค้าร่ำรวยธรรมดาก็ดีอยู่แล้วดันปีนป่ายอยากเป็นสะใภ้ราชวงศ์ เป็นอย่างไรเล่า โดนถีบหัวผลักไสออกมาเช่นนี้จนได้”
“ดูท่าข่าวลือเรื่องคนในวังชินอ๋องมีแต่พวกจิตใจอำมหิต ใจร้ายใจดำเห็นชีวิตคนมิต่างจากผักปลาคงเป็นเรื่องจริง แม้ว่าฝ่ายหญิงทำสิ่งใดผิดขนาดไหนให้อภัยหน่อยมิได้รึนั่น ลงโทษโดยการมอบหนังสือหย่าเช่นนั้น ช่างใจร้ายยิ่งนัก
ใครๆก็รู้ว่าสตรีที่ถูกสามีหย่าขาดนั้นอยู่มิสู้ตายไป สถานะของนางไร้เกียรติมิต่างจากขอทานข้างถนนแล้วตอนนี้”
“นั่นสิ น่าสงสารยิ่ง”
“ข้าคิดไปคิดมา หากคิดอีกมุม มองในแง่ดีหน่อยก็ควรดีใจกับสตรีผู้นั้น แม้สามีรูปโฉมงดงาม สูงศักดิ์เป็นถึงท่านอ๋องแต่หลายเดือนมานี้ล้มป่วย ไม่มีใครเคยพบหน้าเขา ใครต่างก็คาดกันว่าคงพิการเป็นผู้ป่วยติดเตียง เหอะ นอกจากสตรีต้องการยกฐานะตนเองผู้นั้นแล้วยังจะมีใครอยากแต่งเข้าไปในวังท่านผู้นั้นอีกเล่า”
“จริง ข้าเห็นด้วย”
“เช่นนั้นนั้นตอนนี้สตรีผู้นั้นก็เป็นหม้ายน่ะสิ”
“ใช่ มิรู้ว่าชีวิตนางจะเป็นเช่นไรต่อ หากครอบครัวเดิมของนางมิรับกลับบ้านคงน่าสงสารน่าดู”
“น่าสงสารยิ่ง”
“เอ้อ แล้วเจ้าได้ยินข่าว....”
บทสนทนาของชาวบ้านยามเช้าในตลาดมักเป็นข่าวใหม่ล่าสุดในแต่ละวันหรือไม่ก็เป็นเรื่องของผู้อื่นล้วนมิใช่เรื่องของตนเองแต่ออกความเห็นกันราวกับไปอยู่ใต้เตียงเจ้าของเรื่อง
สิ่งเหล่านี้นับเป็นเรื่องปกติ
พวกนางจะรู้ตัวไหมหนอว่าหนึ่งในเจ้าของเรื่อง สตรีที่พวกนางเพิ่งวิจารณาไปนั้นกำลังนั่งจิบน้ำชายามเช้าตั้งใจฟังพวกนางพูดคุยกันอยู่อย่างเงียบงัน
เมื่อวานนางโดนไล่ออกจากวังมิต่างจากหมูจากหมาจริงอย่างที่พวกนางคิด
ก็แหม เกือบทำให้เจ้านายของพวกเขาได้รับการรักษาไม่ทันเวลาขนาดนั้นไม่โดนฆ่าหมกวังก็ดีเท่าไหร่แล้ว
เวลานั้นนางเหมือนเพิ่งฟื้นคืนจากความตายอันแสนน่ากลัว สมองคิดสิ่งใดได้นางก็กระทำลงไปด้วยใจกล้าหาญ หาได้คิดถึงผลเสียที่จะตามมาอย่างถี่ถ้วนสักเท่าไหร่ไม่
หากเมื่อคืนนางทำลายชีวิตท่านอ๋องนางก็คงรู้สึกผิดเช่นกัน
ข่าวที่นางได้ฟังในเช้าวันนี้เป็นเครื่องวัดได้เลยว่าคนของวังอ๋องเกลียดนางเข้าไส้ เพราะนอกจากประกาศหย่านางอย่างรวดเร็วแล้วยังประกาศตัดสายสัมพันธ์อย่างเด็ดขาดอีกด้วย
นั่นเป็นการบอกเหตุผลทางอ้อมว่าฝ่ายผิดคือนาง
กลายเป็นหม้ายไม่พอยังถูกยัดเยียดความผิดว่าปฏิบัติตัวไม่ดีจนพวกเขาทนไม่ไหวไล่ออกมาอีก
แต่มิเป็นไร นางหาได้ใส่ใจสายตาจากคนภายนอกสักเท่าไหร่ไม่ ขอเพียงคนในครอบครัวปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว
....ชีวิตที่สองนี้เย่วซินจะปกป้องพวกเขาด้วยมือของนางเอง แม้ว่าจะมีศัตรูจากทุกสารทิศก็ตามที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
ทันทีที่สองเท้าเล็กเหยียบแผ่นดินอาณาเขตจวนตระกูลเย่ว
ที่หน้าประตู...
ด้านซ้ายมือมีคนรับใช้หนุ่มวิ่งเข้ามาช่วยรับข้าวของที่นางซื้อกลับมาไปช่วยถือไว้และเดินตามหลัง
ส่วนทางขวามือก็มีสาวใช้ใบหน้าจิ้มลิ้มเดินออกมาช่วยถอดเสื้อคลุมตัวนอกสุดออกให้และถือเดินตามเย่วซินเข้าไปเรือนใหญ่เช่นกัน
“กลับมาแล้วหรือแม่ลูกสาวตัวดี อยู่บ้านยังมิทันถึงสองชั่วยามก็วิ่งโล่ออกไปดื้อซนข้างนอกจวน เจ้านี่ถอดแบบมาจากบิดาของเจ้ามิมีผิด ข้าล่ะปวดศีรษะ”
สตรีวัยกลางคนผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์น้อยกว่าอายุจริงกำลังเอนตัวนั่งพิงตัวอยู่บนหมอนอิง โดยมีสาวใช้อายุราวสิบสามสิบสี่สองคนกำลังช่วยกันนวดตัวอีกฝ่ายอย่างขะมักขะเม้น
“เขาเรียกเชื้อมิทิ้งแถวต่างหากเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าเป็นลูกสาวของท่านพ่อก็ต้องเดินตามลอยท่านพ่อสิเจ้าคะถึงจะถูก”
เย่วซิงอยากจะหยิกเนื้อแม่ลูกสาวตัวดีให้เขียวยิ่งนัก ขนาดนางจิกกัดไปแม่ลูกสาวตัวดียังพูดไปทำหน้าทะเล้นมิรู้สึกรู้สาในคำพูดของนางเลยสักนิด
นางล่ะปวดหัวกับลูกสาวบ้านนี้เสียจริง
“ข้ากับพ่อเจ้าก็อุตส่าห์ยอมขาดทุนปลูกสมุนไพรล้ำค่าแลกกับการให้เจ้าแต่งเข้าไปในตระกูลผู้ดีหวังดัดนิสัยให้เรียบร้อยอย่างสตรีทั่วไปเสียบ้าง แล้วนี่กระไรผ่านไปยังมิถึงหนึ่งคืนเจ้าก็ซมซานกลับมาบ้านเช่นนี้ ข้ามิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้วเย่วซินเอ๋ย....”
“เอาไว้ที่เดิมนั่นแหละเจ้าค่ะ อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาข้างนอกเลย มิดีหรือเจ้าคะ ท่านแม่จะได้มิเหงา....ข้ารู้น้า...ว่ายามที่ข้ามิอยู่จวน ตระกูลเราเงียบเหงาเช่นไร คิกคิก”
“เจ้านี่! ข้าว่าเจ้าอยู่นะ ยังมาลอยหน้าลอยตาอีก ชิ!”
เย่วซินเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือพิโรธได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นเนื้อข้างเอวนางคงโดนมารดาแท้ๆหยิกจนติดมืออีกฝ่ายไปแน่
เย่วซินอยากมอบยกรางวัลยอดนักบ่นแห่งแคว้นให้มารดานางไปเสียตอนนี้
แต่ก็นะ มารดานางก็เพียงบ่นแต่ฝีปากเท่านั้น เมื่อวานพอเห็นหน้าเย่วซินแวบแรก หญิงสาวนั่นแหละที่เป็นฝ่ายทั้งกอดทั้งโอ๋ปลอบใจนางเป็นคนแรก
ชิ พวกปากอย่างใจอย่าง
มารดานางเป็นคนเช่นนี้แหละ ปากว่าแต่มือลูบหัว
อย่าว่าแต่ท่านแม่ ท่านพ่อ....บิดาของนางก็มิต่างกัน ใจดียิ่งกว่าด้วยซ้ำ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าเย่วซินต้องการกระทำสิ่งใดหากมิใช่เรื่องทุจริต ผิดกฎหมาย ท่านพ่อท่านแม่มิเคยห้ามนางเลยสักอย่าง
พวกเขาพร้อมสนับสนุนนางทุกเรื่องหากคิดว่าเรื่องนั้นดีต่อตัวลูกสาวลูกชายของพวกเขา
“แล้วท่านพ่อไปที่ใดแต่เช้าหรือเจ้าคะ”
“นู่น ออกไปตรวจสอบหน้าร้านตั้งแต่ยามเหม่า ”
“ขยันยิ่งนักบิดาใครหนอ”
เย่วซินพยักหน้าพลางเอื้อมมือไปหยิบผลไม้บนโต๊ะตรงหน้ามารดาตนเองทว่าก็โดนฝ่ามืออรหันต์ตีเพี๊ยะลงมาเสียก่อน
หดมือหลบไม่ทันก็แดงเถือกเลยสิมือนาง
เย่วซินเบะปากลูบมือตนเองปอยๆ
“ทานมือเช้าก่อนค่อยกินของหวาน เดี๋ยวอ้างแม่ว่าอิ่มท้องมิอยากทานมื้อเช้าอีก”
“เจ้าค่ะ”
เสียงฝีเท้าของคนเดินมาทางเรือนใหญ่กลุ่มใหม่ทำให้สองสาวหันหน้าไปมองหน้าประตูเรือนอย่างพร้อมเพรียง
“นั่นบิดาและพี่ชายของเจ้าคงกลับมาจากร้านแล้ว....ซือซานเจ้าไปเรียกเย่วเทียนและยกสำรับมื้อเช้าเข้ามาได้เลย”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
“พี่ใหญ่ไปด้วยหรือเจ้าคะ จิ๊ๆขยันกันจริงๆบุรุษบ้านนี้ ร่ำรวยจนมิมีที่จะเก็บเงินอยู่แล้วยังจะตื่นตั้งแต่ไก่ยังมิขัน โอ๊ย!....” เย่วซินที่กำลังพูดทีเล่นทีจริงโดนมะเหงกจากฝ่ามือเดิมโขกลงมาหนึ่งโป๊ก “ท่านแม่ข้าเจ็บนะเจ้าคะ”
“เจ็บจะได้รู้ว่านิสัยใดควรเอาตามเป็นเยี่ยงอย่าง นิสัยใดควรทิ้งควรปล่อยไปบ้างอย่างไรเล่า”
“ชิ ข้าไปหาท่านพ่อกับท่านพี่ดีกว่า ขืนอยู่กับท่านแม่ ข้ามีแต่จะเจ็บตัว”
“เจ้าลูกคนนี้!”
เย่วซินหัวเราะทิ้งท้าย ก่อนวิ่งออกไปต้อนรับบิดาและพี่ชายคนโตของตระกูล
เย่วเล่อคือนามของบิดานาง ส่วนพี่ชายคนโตสุดของนางนามว่าเย่วสือ ทั้งสองรับหน้าที่ดูแลรวงร้านในเครือตระกูลเย่วรวมทั้งที่ดินตามเมืองต่างๆอีกมากมาย
ตระกูลเย่วของนางเป็นตระกูลพ่อค้าสมุนไพร หากจัดอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในแคว้นหนึ่งในสิบอันดับต้องมีชื่อของท่านพ่อติดอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน
อ้อ....ครอบครัวเย่วซินมีสมาชิทั้งหมดห้าคน เหลืออีกคนหนึ่งคือน้องชายคนเล็กของนางนามว่าเย่วเทียน ปีนี้เด็กน้อยมีอายุย่างเข้าสิบสองหนาวแล้ว
ทุกคนคือคนที่นางรักยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง ทว่าชาติที่แล้วพวกเขากลับต้องตายเพราะกลายเป็นเบี้ยตัวหนึ่งในกระดานที่หมดประโยชน์
พอเห็นใบหน้าบิดา เย่วซินก็ส่งรอยยิ้มละไมพร้อมกับวิ่งหน้าตั้งเอาดวงหน้าเข้าไปซุบซบกับต้นแขนของบิดาทันทีอย่างออดอ้อนส่งผลให้ทั้งคนโดนอ้อนและพี่ชายที่ยืนอยู่ข้างๆมองตามด้วยความเอ็นดู และอดมิได้ที่จะยกมือขึ้นมาลูบศีรษะนาง
“โดนแม่เจ้าบ่นมาน่ะสิ” ศีรษะมนขยับขึ้นลงเพื่อต้องการตอบรับแบบไร้เสียง
“ก็อย่าดื้อสิน้องรอง ท่านแม่จะได้มิมีสิ่งใดเอ่ยว่าได้”
เย่วซินเงยหน้าขึ้นมาบึนปากใส่พี่ชาย “ยากเจ้าค่ะ”
“มาๆ สำรับเช้าตั้งโต๊ะแล้ว พวกท่านเดินเข้ามาข้างในได้แล้วถึงเวลาทานอาหาร ขืนมัวโอ้เอ้เดี๋ยวท้องไส้จะขาดเอา”
“เจ้าค่ะ”
พอเป็นเรื่องของกินน้ำเสียงของเย่วซินก็อ่อนหวานผสมตื่นเต้นขึ้นมาทันที นางเป็นคนแรกที่ผละวิ่งเข้าไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยประจำที่ของตนเอง คนอื่นๆจึงเดินทยอยลงมานั่งประจำที่
เวลาผ่านราวครึ่งชั่วยามท้องน้อยๆของเย่วซินอัดแน่นไปด้วยของอร่อยจนเต้มท้อง เย่วซินอิ่มแล้วดังนั้นนางจึงหันไปช่วยคีบอาหารให้น้องชายคนเล็กน้องของนาง
“กินเยอะ จะได้ตัวสูงๆแซงหน้าพี่ใหญ่ไปเสีย”
“ขอรับพี่รอง”
“ปีนี้เจ้าอายุสิบสองหนาวแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับ ปีนี้ข้าตื่นเต้นยิ่งอีกไม่กี่วันจะได้เข้าไปเรียนในสำนักการศึกษาหลวง เป็นเพราะพี่รองช่วย ข้าจึงได้เข้าไปเรียนที่สำนักแห่งนั้น”
สองแก้มอ้วนของน้องชายนางฉีกยิ้มกว้างจนมันพองน่ารักยิ่ง ทว่าประโยคที่น้องชายพูดดันทำให้นางและผู้ใหญ่คนอื่นบนโต๊ะอาหารต่างหันมองหน้ากันด้วยใบหน้าที่พลันเคร่งเครียดขึ้น
เหมือนพวกเขาจะลืมเลือนเรื่องสำคัญบางเรื่องไป
“เจ้าหย่ากับท่านอ๋องแล้วเรายังสามารถส่งเย่วเทียนเข้าไปเรียนที่นั่นได้อีกหรือ”
เย่วสือพี่ชายคนโตของบ้านเอ่ยขึ้นกลางโต๊ะอาหาร
ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับที่เย่วซินเพิ่งคิดได้
สำนักการศึกษาหลวง คือโรงเรียนชั้นนำของแคว้นต้าต่านอันเป็นสถานที่รวบรวมอาจารย์ผู้มีความสามารถมาสั่งสอนลูกหลานของตระกูลตั้งแต่ระดับขุนนางรับใช้ราชสำนักไล่ขึ้นไปยังเชื้อพระวงศ์
สรุปคือ มิใช่แค่ต้องเก่งเท่านั้นจึงสามารถเข้าเรียนที่นี่ได้ แต่ต้องมีชาติกำเนิดในตระกูลขุนนางด้วยนั่นเอง
หากเป็นเมื่อก่อนการเข้าเรียนของเย่วเทียนคงไม่มีปัญหาเพราะนางแต่งเข้าวังชินอ๋อง
ทว่าตอนนี้มิใช่....สถานะของเย่วซินเปลี่ยนไปแล้ว
หนึ่งในเหตุผลที่ชาติก่อนเย่วซินยอมแต่งเข้าวังอ๋องก็เพราะอยากให้น้องชายที่มีความใฝ่ฝันอยากสอบเป็นขุนนางเข้าเรียนในที่แห่งนี้นี่แหละ
เย่วซินหันไปมองน้องชายตัวน้อยที่นางเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเป็นก้อนแป้งกำลังมองนางด้วยดวงตาไร้เดียงสา เด็กน้อยไม่ค่อยเข้าใจที่ผู้ใหญ่คุยกัน
มิได้ นางจะทำลายอนาคตของนางชายตนเองมิได้
“เรื่องนี้เดี๋ยวข้าขอจัดการเองนะเจ้าคะท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่”
