สี่ ย้อนเวลามาเจอผู้บุรุกยามค่ำคืน
เย่วซินเดินเท้าออกไปขึ้นรถม้าของตระกูลซึ่งจอดรออยู่ห่างจากอาณาเขตวังชินอ๋องประมาณสามซอย
ที่ให้จอดไกลมิใช่อะไร เย่วซินกลัวว่าจะมีคนเอาเรื่องของนางไปนินทาจนเกิดข่าวลือมั่วซั่วอีกครา
ขากลับเย่วซินคิดไว้ว่าจะแวะภัตตาคารอาหารชื่อดังในตัวตลาดเสียหน่อยเพราะเมื่อเช้านางได้ยินเย่วเทียนบ่นว่าอยากกินเป็ดปักกิ่งและหมูกรอบอบน้ำผึ้งซึ่งสองเมนูนี้ที่ร้านนั้นทำอร่อยที่สุด
ไหนๆนางก็ออกมาข้างนอกแล้วจึงถือโอกาสแวะซื้อไปฝากน้องชายสักหน่อย
ครั้นหญิงสาวกำลังนั่งรออาหารที่นางสั่งเสี่ยวเอ้อในรูปแบบห่อกลับบ้านอยู่บนโต๊ะไม้หลังหนึ่งในภัตตาคารกว้างขวางแห่งนี้ จู่ๆก็มีคุณชายผู้หนึ่งเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับนาง
แน่นอนว่าเย่วซินขมวดคิ้วสงสัยไม่เข้าใจเพราะนางมิได้นัดใครไว้ก่อน นางมาคนเดียว พอกวาดสายตามองรอบกายโต๊ะในร้านยังไม่เต็มดังนั้นมิควรมีใครมาร่วมนั่งโต๊ะกับนางสิ
“คุณหนูมาเพียงผู้เดียวหรือ คงจะเหงาแย่ เช่นนั้นบุรุษเช่นข้าขอเสียสละนั่งเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน เดี๋ยวอาหารมื้อนี้ข้าเลี้ยงคุณหนูเอง”
เย่วซินหรี่ตามองบุรุษแปลกหน้า หากนางมิใช่สตรีสองชาติตอนนี้คงไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามอีกฝ่ายเป็นแน่
บุรุษผู้สวมใส่อาภรณ์ถักทอด้วยผ้าไหมเนื้อดีเลิศ ทั้งชุดพร่างพราวไปด้วยเนื้อผ้าสีม่วงขลิบทองคำแท้ส่งเสริมให้ใบหน้าที่หล่อเหลาตามเค้าโครงบิดามารดาดีอยู่แล้วยิ่งดูรูปงามสูงศักดิ์ขึ้นไปใหญ่
คนผู้นี้คือองค์ชายห้าโจวซินหรูผู้ขึ้นชื่อเรื่องความแสนดีโดยเฉพาะกับสตรีจึงทำให้มีพระสนมในวังตนเองหลายสิบคนทั้งๆที่ยังไม่มีพระชายาเลยสักคนเดียว
เหอะที่ด้านหลังของเขามีคุณหนูที่ทั้งน่ารักและสวยสองคนยืนหน้าบึ้งมองมาที่นางอยู่ไม่ไกล
มิคิดเลยว่าชาตินี้นางจะมีดวงสมพงษ์ยุ่งเกี่ยวกับคนในราชวงศ์ที่นางอยากหลีกหนีอย่างยิ่งเช่นนี้
นางคงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขาไปก่อน
“ข้าเกรงใจคุณชายเจ้าค่ะ พอดีข้าสั่งกลับบ้านมิได้นั่งทานที่ร้าน”
“ว้า เสียดายเลยนึกว่าวันนี้ข้าจะได้ทานอาหารร่วมโต๊ะกับสตรีโฉมงามเสียอีก”
คำพูดกับสายตาช่างไม่สอดคล้องกันเลยสักนิด ดวงตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายเปล่งประกายระยิบระยับแฝงไปด้วยรอยยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย
“นั่นอย่างไรเสี่ยวเอ้อนำมาให้ข้าพอดีเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อน”
“เดี๋ยวก่อนคุณหนู เดี๋ยวอาหารมื้อนี้ข้าขอจ่าย”
เย่วซินหาได้ต้องการไม่ นางมีเงินมากล้นจนมิต้องพึ่งพาใคร แต่อีกฝ่ายเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นบุตรของฮ่องเต้คนปัจจุบันนางมิอาจปฏิบัติตัวโดยไม่คิดถึงสิ่งที่ตามมาได้
“ข้าเตรียมเงินมาพอแล้วเจ้าค่ะ มิรบกวนคุณชาย”
“แต่ว่าข้าปรารถนาให้เป็นของขวัญที่เราสองมีวาสนาพบกันครั้งแรกนี่นาคุณหนู”
“....”
ยังตื๊อไม่เลิกองค์ชายผู้นี้
เย่วซินจ้องมองอีกฝ่ายเขม็งด้วยสายตาเย็นเยียบทว่าไม่ทันที่อีกฝ่ายได้เห็นนางก็เปลี่ยนเป็นคมกริบกระจ่างใส
“จ่ายแทนข้าครั้งนี้ สตรีเช่นข้ามิมีสิ่งใดตอบแทนทั้งภายนี้และภายหลังนะเจ้าค่ะ”
“ข้าจ่ายให้เจ้ามิต้องตอบแทนสิ่งใดต่อข้า”
“เช่นนั้นขอบน้ำใจคุณชาย ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ”
“เดี๋ยวก่อน ข้ายังไม่รู้จักนามของคุณหนูเลยว่าเป็นบุตรีตระกูลใด”
“ข้าเป็นบุตรีของพ่อค้าตระกูลสามัญ คุณชายมิรู้จักหรอกเจ้าค่ะ”
“ข้าสายตากว้างไกล มิแน่แม่นางบอกมาอาจรู้จัก นี่อย่างไรถือเป็นการบอกตระกูลของแม่นางแลกเปลี่ยนกับค่าอาหารที่ข้าจ่ายออกไป”
“...”
นั่นอย่างไร สุดท้ายก็ทำดีหวังผล นางพูดยังมิทันขาดคำ บุรุษผู้นี้
“คุณหนูสองท่านนั้นดูเหมือนจะเรียกคุณชายนะเจ้าคะ เอ นั่น แม่นางทั้งสองกำลังทะเลาะกันหรือไม่”
โจวซินหรูหันหลังขวับไปมองตามทิศทางที่นิ้วนางชี้ แน่นอนว่าเป็นกลอุบายในการสร้างโอกาสให้ตนเอง พออีกฝ่ายเปลี่ยนความสนใจปุบ เย่วซินก็รีบเผ่นหนีอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มหันมาอีกทีก็เห็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าที่เคยมีร่างของโฉมงามยืนอยู่
“หลอกข้ารึ....เหอะ สตรีที่ข้าปรารถนาอย่างไรข้าจะต้องได้มา! มิว่าเจ้าเป็นผู้ใด!”
เย่วซินกลับจวนมาด้วยอารมณ์มิใคร่สดใสนักเพราะระหว่างทางนางเจอบุรุษเจ้าชู้ประตูดินหลงตนเองเป็นที่สุด หากมิติดว่าเขาเป็นใครป่านนี้นางคงใช้หลังมือซัดไปสักป้าบข้อหาทำให้นางอารมณ์เสียไปแล้ว
โชคดีที่พอนางเดินผ่านเข้ามาในธรณีประตู ใบหน้าเจ้าก้อนแป้งน้อยของนางก็ปรากฎตัวพร้อมเดินเข้ามาหานางราวกับเด็กน้อยนั่งเฝ้ารอเพื่อต้อนรับนางกลับบ้านอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านพี่รองกลับมาแล้วหรือขอรับ เหนื่อยหรือไม่ข้าเตรียมน้ำเย็นมาให้ท่านดื่มขอรับ”
พี่สาวอย่างนางเหมือนถูกอณุภาพความน่ารักน่าเอ็นดูสาดเข้าใส่อย่างจัง
พอได้ดื่มน้ำเย็นที่น้องชายนำมาให้ความขุ่นเคืองใจก็ราวกับถูกน้ำละลายหายไปหมด มือบางเอื้อมออกไปยีผมบนศีรษะน้องชายตนเองหนึ่งทีก่อนย่างเท้าเดินเข้าเรือนไปพร้อมกับน้องชายตัวน้อย
“มาออดอ้อนข้าเช่นนี้น้องเล็กมีสิ่งใดปรารถนาจากพี่หรือไม่”
ดวงตากลมโตใสแจ๋วเงยหน้าขึ้นมาจ้องนางทันที จ้องมองมิพอเย่วเทียนจอมหัวหมอยังกระพริบตาปริบๆ ฉีกยิ้มกว้างจนทำให้พวงแก้มสองข้างถูกดันเบียดกลมเป็นก้อนกลมคล้ายซาลาเปา
หากนางมีบ้านให้บ้าน มีที่ดินเท่าไหร่นางบอกเลยว่านางให้น้องชายของนางหมดแน่
“พี่หญิงเหนื่อยหรือไม่ขอรับ ข้า....” เจ้าก้อนแป้งก้มหน้ามองปลายเท้าตนเอง “ข้ามิไปเรียกที่สำนักการศึกษาหลวงก็ได้นะขอรับ ให้ท่านพ่อจ้างอาจารย์มาสอนข้าที่บ้านก็ได้ ข้าจะตั้งใจอ่านตำราด้วยตนเอง หากการไปเรียนที่นั่นทำให้พี่รองเหนื่อยยิ่งกว่าเดิม”
เย่วซินหยุดชะงักฝีเท้าทันที น้องชายนางอายุสิบสองหนาวถือว่าเป็นอายุที่พอรู้ความ มิแปลกที่อีกฝ่ายจะสามารถตีความสถานะการณ์ในตระกูลออกว่ามิเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เย่วซินนั่งคุกเข่าลงไปต่อหน้าน้องชายตนเองพลางจับสองมือขาวอ้วนมากอบกุมไว้และช้อนใบหน้ากลมให้เงยขึ้นมาสบตากับนาง
ดวงตากลมไร้เดียงสากำลังมีน้ำตาใสคลอหน่วยอยู่ ช่างเป็นภาพที่ทำให้จิตใจของพี่สาวอย่างนางเจ็บปวดชอกช้ำยิ่งนัก
“พี่มิเหนื่อย หากเหนื่อยแวบเดียวก็หาย หากเจ้าอยากให้พี่หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งก็จงตั้งใจร่ำเรียนวิชาที่นั่นให้คุ้มค่า ส่วนเรื่องอื่นมิต้องคิดเป็นกังวลให้มากมายนักเลย...เป็นเด็กเป็นเล็กคิดมากไปเดี๋ยวผมจะหงอกเช่นท่านพ่อนะเย่วเทียน”
“คิก ท่านพี่นินทาท่านพ่อหรือขอรับ ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ คิกๆ”
หัวเราะได้สักที
เย่วซินโยกศีรษะน้องชายจนโคลงไปมาอย่างนึกเอ็นดู นัยน์ตานางทอประกายความอบอุ่นทว่าหากมองดีดีจะเห็นว่ามีกระแสความเป็นกังวลอยู่ในนั้น
เย่วเทียนไร้เดียงสายิ่งนัก
น้องชายของนางบอบบางดั่งกระเบื้องเคลือบที่หากถูกทุบก็แตกได้อย่างง่ายดาย
พี่สาวอย่างนางมิอาจทนเห็นน้องชายตัวน้อยถูกทำร้ายได้เป็นหนที่สองในชาตินี้
สำนักการศึกษาหลวงเป็นอย่างไรไยนางจะมิรู้
หากเปรียบเทียบสำนักการศึกษาหลวงกับสิ่งของ ที่นั่นคงเปรียบเหมือนป่าหิมพานต์ที่ภายในอุดมสมบูรณ์ มีพืชพรรณหายากและของล้ำค่ามากมายให้เก็บเกี่ยว ทว่าในทางกลับกัน...
ที่นั่น...มีสิงสาราสัตว์ดุร้ายน่ากลัว มีสิ่งลี้ลับซุกซ่อนเต็มไปหมด
หากอ่อนแอก็อย่าริคิดกล้าหาญชาญชัยเดินเข้ามาในป่าแห่งนี้แม้เพียงก้าวเดียว
เพราะว่า....
นอกจากมิสามารถนำของล้ำค่าออกจากป่าไปได้แล้ว
ยังมิอาจนำพาชีวิตของตนเองกลับออกมาได้อีกด้วยซ้ำ
เย่วซินตัดสินใจแล้วว่าในชาตินี้นางจะมิปล่อยให้น้องชายเดินเข้าป่าหิมพานต์ไปเพียงลำพัง
นางจะเดินเคียงข้างเข้าไปในป่าหิมพานต์ด้วยกันกับน้องชาย...เพื่อกอบโกยของล้ำค่ามากมายและกลับออกมาจากป่าได้อย่างปลอดภัย!
เย็นวันเดียวกันหลังทานมื้อค่ำพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวเสร็จ เย่วซินขอตัวออกมายังห้องอ่านหนังสือส่วนตัวในเรือนของนางเองทันที
เนื่องจากครอบครัวตระกูลเย่วมิขัดสนเรื่องเงินทองดังนั้นบุตรชายหรือบุตรสาวทุกคนจึงมีเรือนหลังใหญ่เป็นของตนเองทุกคน มีครบมิพอยังมีเหลือเรือนว่างเปล่าอีกหลายเรือนมินับรวมพื้นที่ว่างเปล่าที่สามารถปลูกเรือนอีกหากต้องการ
ทว่าในชาตินี้เย่วซินรู้ดีว่าความมั่งคั่งร่ำรวยเพียงอย่างเดียวมิเพียงพอต่อความปลอดภัยของตระกูล หากมีความร่ำรวยมากเกินไปเกิดวันใดไปขัดขา ขวางหูหวางตาคนใหญ่คนโตมากอิทธิพลคับฟ้าเข้าเงินทองที่พวกนางมีก็ไร้ประโยชน์
ชาตินี้เย่วซินจึงหมายมั่นว่านางจะต้องทั้งร่ำรวยยิ่งๆขึ้นไปและสะสมอิทธิพลและอำนาจไปพร้อมกัน
ต้องเป็นอำนาจที่มิได้มาจากสามีที่เห็นแก่ตัวเพราะนั่นมันช่างเป็นสิ่งไม่มั่นคงเลยสักนิด
ไม่มีสิ่งใดดีเท่าสิ่งที่มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของตนเอง
เย่วซินเดินมาถึงห้องหนังสือของตนเองโดยพอนางเดินเข้าไปก็มีบุรุษกำยำร่างใหญ่ยืนรอการมาของนางอยู่แล้ว
“กันกวางรอนานหรือไม่”
กันกวางเป็นชื่อแซ่ของผู้คุ้มกันของเรือนนาง ชายหนุ่มทำงานกับนางมาตั้งแต่หญิงยังตัวเท่าเอวของเขากระมัง
เย่วซินรู้ว่าบุรุษผู้นี้ทั้งมีพละกำลังดีและสมองเร็ว ทว่าสิ่งที่สำคัญคือ....กันกวางภักดีต่อนางและตระกูลเย่วจนถึงที่สุดแม้กระทั่งชีวิตของอีกฝ่ายก็ยอมแลกเพื่อปกป้องและดูแลสมาชิกตระกูลเย่วได้
ชาติที่แล้วนางเห็นชัดเจนกระจ่างแล้วในความภักดีของเขา ชาตินี้เย่วซินจึงมิลังเลเลยสักนิดที่จะมอบหมายภารกิจสำคัญให้อีกฝ่ายดูแล
“ไม่นานขอรับคุณหนูรอง”
เย่วซินเดินเข้ามาในห้องหญิงสาวทำจมูกฟุดฟิดเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นสมุนไพรจากตัวลูกน้องของตนเอง
กลิ่นสมุนไพรหวงฉีที่มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงเลือดลมในร่างกาย
“เจ้ามิค่อยสบายรึ เลือดลมไหลเวียนมิค่อยดีหรืออย่างไร”
“หืม ขอรับข้าน้อยเพิ่งดื่มหวงฉีหลังมือเย็นเพราะรู้สึกมิสบายตัว ท่านหมอบอกว่าอาจมีปัญหาที่เลือดลมจึงให้ยาบำรุงข้าน้อยมา แต่มิได้เป็นอันใดมากนะขอรับคุณหนูมิต้องเป็นกังวล”
“ดีแล้ว อย่าลืมเบิกค่ายาบำรุงที่ท่านพ่อบ้านนะ มิต้องเกรงใจ”
“ขอรับคุณหนู”
“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบเป็นเช่นไรบ้าง มีใครรับคนงานเข้ามาทำงานใหม่บนภูเขาลวี่เซ่อหรือไม่”
ภูเขาลวี่เซ่อคือภูเขาที่ตระกูลเย่วเป็นเจ้าของ พื้นที่บนเขาท่านพ่อให้คนงานปลูกสมุนไพรล้ำค่าที่มันปลูกยากมิค่อยมีใครขายหรือหาได้จากป่า แต่มีลูกค้าต้องการนั่นเอง
รายได้จำนวนมากที่ทำให้ธุรกิจของตระกูลนางเติบโตมีเม็ดเงินไหลเข้ามาจำนวนมากเป็นเพราะกิจการส่วนนี้ รายได้ส่วนใหญ่มาจากเขาลูกนี้มากกว่าการเป็นนายหน้าพ่อค้าคนกลางสมุนไพรเสียอีก
“ไม่มีนะขอรับ การทำงานของหลงจู๊ที่นั่นเป็นไปตามรายงานที่ส่งมาให้นายท่านทุกอย่าง”
นั่นแปลว่ามิมีใครคิดคดต่อบิดานาง
คำตอบของกันกวางกลับมิทำให้เย่วซินสบายใจกลับกันหัวคิ้วของนางขมวดเข้ามากันจนเกิดร่องสามขีดกึ่งกลางหน้าผาก นางไม่รู้ตัวเลยว่านางแสดงอาการเคร่งเครียดออกมาขนาดเผลอยกนิ้วโป้งขึ้นมากัดเล็บตนเอง
เป็นไปไม่ได้ ชาติที่แล้วมีคนของท่านพ่อทรยศหักหลังลอบปลูกสมุนไพรต้องห้ามอันเป็นสาเหตุให้ครอบครัวนางโดนข้อหาคิดคดก่อกบถ สมรู้ร่วมคิดกับศัตรูค่างแคว้น
หลักฐานคือสมุนไพรต้องห้ามบนเขาของนาง
ต้องเป็นฝีมือของคนในอย่างแน่นอนทว่าชาติที่แล้วนางไม่รู้ว่าใครคือคนทรยศผู้นั้น
ชาตินี้นางก็ยังหาไม่เจอ!
“อะ เอ่อ คุณหนูเป็นอันใดหรือไม่ขอรับ ข้าเห็นว่าใบหน้าคุณหนูซีดขาวผิดปกติ”
คำทักของกันกวางทำให้เย่วซินได้สติ พยายามผ่อนคลายร่างกายและความคิดของตนเองลง
นางลืมตัว
นางมิควรตีตนไปก่อนไข้ ชาตินี้นางมิได้เดินบนเส้นทางเดิมอีกต่อไปแล้ว มิแน่....
ครอบครัวของนางอาจไม่โดนใส่ร้ายเหมือนชาติที่แล้ว
“ข้ามิเป็นไร เช่นนั้นข้าฝากเจ้าส่งคนไปจับตามองเฝ้าระวังที่นั่นและคอยรายงานข้าก็แล้วกัน ข้าเริ่มง่วงนอนแล้ว เชิญเจ้าออกไปได้ วันนี้ขอบน้ำใจมาก”
“ขอรับ”
กันกวางเดินออกจากห้องหนังสือของเย่วซินไปแล้ว เจ้าของห้องถอนหายใจยาว สองมือลูบใบหน้าตนเองหนสุดท้ายจากนั้นจึงค่อยปรับสีหน้าและแววตาของนางให้กลับมาสงบนิ่งดังเดิม
ลูกน้องไปแล้วเจ้านายเช่นนางจึงเดินออกจากห้องทำงานบ้าง เวลานี้ปลายยามซวี ดังนั้นเย่วซินจึงตั้งใจว่านางจะเข้านอนเร็วหน่อยวันนี้เนื่องจากนางรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย
สงสัยคิดบางเรื่องมากเกินไป
ในขณะที่เย่วซินกำลังล้มตัวนอนเรื่องมิคาดฝันก็เกิดขึ้น!
จู่ๆช่องหน้าต่างที่วันนี้นางเปิดเอาไว้รับลมเย็นจากภายนอกเรือนมีบุรุษชุดดำปกปิดใบหน้ากระโดดเข้ามาในห้องนอนสตรีเช่นนาง
เย่วซินไม่ทันไหวตัวทัน นางไม่มีโอกาสแม้กระทั่งตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คุ้มกันของตระกูล มือหนาของผู้บุกรุกยามค่ำคืนปิดแน่นลงมาบนริมฝีปากนาง
“อื้อ อ้านเอนไอ อื้อ อื้อ”
หัวใจสตรีเช่นเย่วซินย่อมกระตุกวูบอย่างหวาดกลัวอันตรายในเวลานี้มิต่างจากสตรีผู้อื่น
นางโดนบุกรุกเข้ามาในห้องนอนเชียวนะ เป็นใครจะมิหลาดกลัวบ้าง แถมบุกรุกเข้ามาโดยที่ผู้คุ้มกันของตระกูลเย่วไม่รู้ตัวเลยสักนิด....นับว่าบุรุษชุดดำผู้นี้ฝีมือไม่ธรรมดา
สตรีที่พอเป็นวิชาป้องการตัว กระบวนท่าต่อสู้ไม่กี่กระบวนเช่นนางไม่มีทางต่อกรได้อยู่แล้ว
“อย่าริอาจคิดส่งเสียงดังมิเช่นนั้นเจ้าจะมิมีโอกาสได้เปล่งเสียงใดอีกต่อไป”
“อื้อๆ” เย่วซินพยักหน้าเร็วรัว
“ข้ามิได้มาทำร้ายเจ้า หากเจ้าเชื่อฟังข้า เจ้าจะปลอดภัย...หลายวันก่อนเราเจอกันในซอยตลาดเจ้าจำได้หรือไม่”
“....” เย่วซินนิ่งงันก่อนพยักหน้าอีกหน “อ้ำไอ้”
“หนนั้นเจ้าทำร้ายข้าเพราะเข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นหัวขโมย ข้าจึงไม่เอาความเจ้าแต่ของสำคัญของข้าหายไป เจ้าเอาไปหรือไม่”
“อ่อยอ้าอ่อนอิ”
“เจ้าพูดอันใดมิรู้เรื่อง กวนโมโหข้าอยู่ใช่หรือไม่”
โจรผู้นี้โง่หรืออย่างไร หรือความทรงจำสั้นดั่งปลาทอง เขาปิดปากนางอยู่จะให้คุยกันรู้เรื่องได้เช่นไร
เย่วซินที่เวลานี้ใจเย็นลง ความหวาดกลัวลดลงกว่าครึ่งเมื่อรู้จุดประสงค์การมาของอีกฝ่าย
หากพูดจริงนางก็วางใจแต่หากอีกฝ่ายโกหกนางก็มิรู้ว่าจะเอาตัวรอดเช่นไร
ทางที่ดีนางควรยอมโอนอ่อนตามน้ำไปก่อนเพื่อชีวิตน้อยๆนี้ของตน
“อ่อยอ้าอิ”
“หากข้าปล่อยเจ้า ห้ามส่งเสียงดัง...ทำได้หรือไม่”
ดวงตาที่โผล่ออกมาเป็นอย่างเดียวที่เย่วซินเห็นนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามิค่อยเชื่อใจในคำรับปากนางสักเท่าไหร่ หญิงสาวจึงพยักหน้าอย่างแรงและหนักแน่นเพื่อแสดงถึงความจริงจัง
“อื้อๆ”
สุดท้ายริมฝีปากนางเป็นอิสระสักที
“ข้ารู้ตั้งแต่วันนั้นแล้วเจ้ามิใช่ขโมย ต้องขออภัยที่ข้าเข้าใจผิด แต่เจ้าก็มิควรลอบเข้ามายังสถานที่ส่วนตัวของผู้อื่นเช่นนี้ ที่บ้านเจ้ามิสั่งสอนหรือว่าบุรุษมิควรอยู่ตามลำพังกับสตรียังมิได้ออกเรือนเช่นนี้...ทำเช่นนี้ข้าเสียหายนะ ชิ!”
“....”
แววตานิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความเอือมระอา ทำให้
เย่วซินรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังกำลังด่านางในใจประมาณว่า
มิน่าเปิดปากให้นางพูดเลย หารู้ล่วงหน้าว่าจะพูดมากขนาดนี้
เย่วซินขุ่นเคืองใจมิน้อย หากเขาอยากได้ของคืนก็เข้าตามตรอกออกตามประตูสิ ติดต่อขอพบนางแบบถูกต้องมิได้หรืออย่างไร ทำไมต้องทำตัวลึกลับน่าสงสัยด้วย
“หนนี้ข้าจะมิถือสาเอาความท่านก็แล้วกัน แต่อย่าทำเช่นนี้กับสตรีอื่นก็แล้วกัน นั่นอาจทำให้พวกนางเสียหายได้”
“....”
“สิ่งที่ท่านทำหายคือแผ่นหยกใช่หรือไม่”
“ใช่ อยู่ที่เจ้ารึ” น้ำเสียงดุดันแฝงด้วยความไม่พอใจ
“ข้ามิได้ขโมยของเจ้ามานะ ขอบอกเอาไว้ก่อน ข้าเก็บได้จากบนพื้นในวันนั้น เจ้าทำตกไว้เองอย่าหาได้โทษข้า”
“....” เขามองเหมือนกำลังบอกว่านางร้อนตัวเสียอย่างนั้น เฮอะ บุรุษผู้นี้แม้พูดน้อยแต่แววตาเขาแสดงอาการรำคาญต่อนางอยู่ตลอดเวลามิปิดบัง
“ป่านนี้แผลเจ้ายังมิหายดีอีกหรือ แถมยังได้แผลใหม่อีก ทำงานใดกัน....เลิกได้เลิกนะ พบกันสองหนเจ้าก็บาดเจ็บเช่นนี้ทั้งสองหน”
เย่วซินได้กลิ่นเลือดสดใหม่ แม้ภายนอกจะมองมิเห็นบาดแผลอันเป็นที่มาของกลิ่นเลือดก็ตามที
เย่วซินลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุด มือบางหยิบถุงผ้าสีแดงเลือดหมูออกมาก่อนจะเปิดลิ้นชักอีกอันหนึ่งเพื่อหยิบกล่องไม้ซึ่งภายในบรรจุขวดและตลับใส่ยาทาแผลภายนอกมาไว้ในมือ
ปึก!
“ทายาห้ามเลือดบนแผลเจ้าก่อนเถอะ ข้ามิได้เป็นห่วงผู้บุกรุกเช่นเจ้าหรอกนะ เพียงแต่เกรงว่าเจ้าจะไม่มีแรงพาตัวเองออกจากจวนของข้าโดยที่ไม่ทำให้คนของข้าพบดั่งตอนที่เจ้าเข้ามาได้ต่างหาก...เช่นนั้นข้าอาจเดือดร้อนได้”
“เอาของของข้ามา”
“ไม่! ข้าจะให้ต่อเมื่อเจ้าทายาบนแผลเสร็จเท่านั้น”
“....”
ดื้อด้านยิ่งนักบุรุษผู้นี้ กลิ่นเลือดรุนแรงขนาดนี้ ตามที่นางคาดเดาหากเขามิได้ปิดบังใบหน้านางคงได้เห็นคนปากซีดใกล้เป็นลมเพราะเสียเลือดมากเป็นแน่
“ยาอยู่ในกล่อง เจ้าหยิบทาด้วยตนเอง”
“....”
“หรือจะให้ข้าทายาให้เจ้า....ได้นะ ข้ามิรังเกียจอยู่แล้ว”
ไม่พูดเปล่าเย่วซินทำท่าเดินเข้าไปหาหมายช่วยปลดเปลื้องเสื้อผ้าเขาเพื่อทายาบนแผลให้
“มิต้อง! แปลกคน เจ้าเป็นสตรีประเภทใด เป็นสตรีริอาจมาเปิดดูเนื้อหลังของบุรุษเช่นนี้ได้อย่างไร มิละอายใจบ้างรึ!”
“โถ่ ที่แท้เจ้าก็เป็นบุรุษที่รักนวลสงวนตัว เขินอายยิ่งกว่าสตรีเช่นข้า....” เย่วซินปิดปากหัวเราะขำขัน “ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะไปอยู่หลังฉากกั้นมิมองเจ้าก็แล้วกัน”
“เจ้า!”
เย่วซินรีบเดินหนีออกมาก่อนที่จะโดนสายตาดุดันคู่นั้นสังหารเสียก่อน
นางรู้สึกเบิกบานมิน้อยที่ได้แกล้งอีกฝ่าย เย่วซินไม่ได้เขินอายดั่งคุณหนูในห้องหอเช่นผู้อื่นเป็นเพราะชาติที่แล้วนางผ่านเรื่องในหอระหว่างชายหญิงมามิน้อย อย่าลืมสิว่านางแต่งงานมาแล้วหนึ่งหนแม้ว่าเป็นการแต่งงานโดยปราศจากความรักก็ตามที
บุรุษเปลือยกายทั้งตัวนางล้วนเห็นมาแล้วกับแค่เปิดเปลือยครึ่งตัวนางมิถือสาอันใดอยู่แล้ว
ใช้เวลาไม่นานผู้บุรุกผู้หน้าบางก็ทายาบนแผลของตนเองเสร็จเย่วซินจึงเดินออกมาจากหลังม่านอย่างไม่รีรอ
“ของของข้าเล่า”
“อะ อยู่ในถุงผ้านี้” เย่วซินโยนถุงผ้าออกนอกหน้าต่างไปทันทีโดยไม่บอกไม่กล่าวใดใดทั้งสิ้น แน่นอนว่าผู้บุรุกผู้นี้มีฝีมือเก่งกาจขนาดลอดพ้นสายตาของผู้คุ้มกันของจวนมาได้ การเคลื่อนไหวของเขาย่อมเร็วและการตอบสนองต้องล้ำเลิศ ชายหนุ่มจึงกระโดดออกจากหน้าต่างไปเพื่อคว้าถุงผ้าที่นางโยนออกไปทันที
หลังจากนั้นเย่วซินจึงรีบปิดหน้าต่างห้องนอนตนเองเสีย
เหอะ แก้แค้นที่เขาบังอาจบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของผู้อื่นก็แล้วก่อน
เสียงโหวกเหวกโวยวายนอกเรือนของนางดังขึ้นหลังจากนั้น
“นั่น มีผู้บุรุก”
“มันหายไปแล้ว รีบตามจับเร็ว”
กระโดดคว้าของขนาดนั้นจะโดนพบเห็นก็ไม่แปลก
เย่วซินอมยิ้มสะใจหลังจากได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวข้างนอก
ใจดีแค่ไหนแล้วที่นางให้เขาทายารักษาแผลของตนเองเสียก่อน อุตส่าห์ให้เตรียมความพร้อมก่อนออกไปเผชิญกับขบวนผู้คุ้มกันของนางข้างนอกเชียวนะเนี่ย
บุรุษผู้นั้นคงเอาตัวรอดได้กระมัง เก่งปานนั้น
