บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 ตัดสินใจครั้งสำคัญ

บทที่ 5 ตัดสินใจครั้งสำคัญ

โรงรับจำนำตั้งอยู่ในตรอกเล็กที่ค่อนข้างเงียบสงบ

ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยผู้คนที่นำของมีค่ามาแลกเป็นเงิน

หยูชิงม่านก้าวเข้าไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง สีหน้าเรียบนิ่ง นางก้าวไปที่โต๊ะสูงที่ทำจากไม้เก่าแก่ ด้านหลังโต๊ะสูงเป็นเถ้าแก่ร่างท้วม

ที่ในอาภรณ์สีเทาหม่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยประสบการณ์

“แม่นางต้องการจำนำสิ่งใดหรือ ไหนข้าของดูหน่อย”

เถ้าแก่ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

หยูชิงม่านวางห่อผ้าบนโต๊ะสูงแล้วเปิดออก เผยให้เห็นกำไลหยกสองวง แหวนหยกหนึ่งวง และปิ่นปักผมเงินสามอัน

เถ้าแก่หยิบแว่นทองแดงขึ้นมาสวม ก่อนจะใช้มืออวบอูมของเขาหยิบเครื่องประดับขึ้นมาพิจารณาทีละชิ้น เขามองแต่ละชิ้นด้วยสายตาชำนาญ ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วกล่าวออกมา

“ของเหล่านี้เป็นของดีอยู่บ้าง โดยเฉพาะกำไลกับแหวนหยก แต่ไม่ใช่ของล้ำค่ามากนัก ข้าสามารถให้ได้ยี่สิบตำลึง”

หยูชิงม่านเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่า

เถ้าแก่คงกดราคา แต่ราคานี้ก็ต่ำกว่าที่นางคาดหวังไว้ จึงโต้แย้งออกมา

“เถ้าแก่ เครื่องประดับพวกนี้ล้วนแต่เป็นของที่ทำมาจากเงินแท้ ทั้งกำไลและแหวนหยก ก็มีเนื้อหยกที่ดี ไม่ได้มีตำหนิ

หรือรอยร้าวเลย ข้าเห็นกับตาว่าโรงรับจำนำของท่าน เคยรับของที่ด้อยกว่านี้ในราคาสูงกว่ายี่สิบตำลึงเสียอีก”

เถ้าแก่หัวเราะแล้วส่ายหน้า ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างมีชั้นเชิง “แม่นาง ข้ามีกิจการต้องดูแล ของเหล่านี้แม้จะดี แต่ก็ไม่ใช่ของล้ำค่าที่จะขายต่อได้ราคาสูงนัก ยี่สิบตำลึงเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว”

หญิงสาวยิ้มให้ นางไม่ได้เร่งรีบตอบในทันที แต่กลับใช้สายตามองไปยังเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะสูง ราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง แล้วค่อยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับเสียดายเล็กน้อย

“ถ้าเช่นนั้น ข้าคงต้องไปที่โรงรับจำนำฝั่งตะวันออกดู

ไม่แน่ว่าบางทีพวกเขาอาจให้ราคาสูงกว่านี้ก็เป็นได้” นางกล่าวจบก็ขยับมือทำท่าจะเก็บเครื่องประดับกลับ

เถ้าแก่เห็นเช่นนั้นก็ชะงักไป แม้ว่าของเหล่านี้จะไม่ใช่ของล้ำค่า แต่ก็ยังมีคุณค่ามากพอสมควร หากปล่อยให้ลูกค้าคนนี้นำไปจำนำที่อื่น เขาอาจพลาดโอกาสทำกำไร

“เดี๋ยวก่อน!” เถ้าแก่เรียกไว้พลางแกล้งถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แม่นางช่างเจรจาเสียจริง เช่นนั้นข้าจะเพิ่มให้เป็นยี่สิบสามตำลึง ซึ่งถือว่าให้มากที่สุดแล้วนะ”

หยูชิงม่านยิ้มออกมาเล็กน้อยที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่

นางต้องการ ก่อนจะทำหน้าราวครุ่นคิด แล้วกล่าวต่อรองอีกครั้ง

“ข้าต้องการยี่สิบห้าตำลึง” น้ำเสียงที่ใช้นั้นเด็ดขาด

อย่างมาก และสบสายตากับเถ้าแก่อย่างแน่วแน่ว่าต้องการาคานี้

“เอ้า ยี่สิบห้าก็ยี่สิบห้า แม่นางนี่ช่างเจรจาเก่งยิ่งนัก”

ในที่สุดเถ้าแก่ก็ยอมตามราคาที่นางต้องการ

จากนั้นเถ้าแก่หยิบเงินออกมานับแล้วยื่นให้ หยูชิงม่าน

รับเงินมานับอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเงินครบก็รีบใส่ไว้ในถุงเงินและกุมไว้แน่น ในใจรู้สึกโล่งขึ้นมาเล็กน้อย

‘เอาล่ะ อย่างน้อยข้าก็มีทุนสำหรับเริ่มต้นต่อสู้กับชะตากรรมของตนเองแล้ว’ นางคิดในใจอย่างมุ่งมั่น แล้วเดินออกจากโรงจำนำเพื่อกลับไปที่โรงเตี๊ยมตระกูลหยู

เมื่อกลับถึงโรงเตี๊ยม หยูชิงม่านเดินผ่านโถงด้านหน้าไปยังห้องพักของตนเอง โดยไม่เอ่ยอะไรกับท่านปู่ที่กำลังนั่งถอนหายใจอยู่ที่โต๊ะไม้เก่าแม้สักคำ นางกุมถุงเงินในมือไว้แน่น แม้จะได้เงินมาก้อนหนึ่งมาแล้ว แต่รู้ดีว่ามันยังไม่เพียงพอที่จะปลดหนี้ทั้งหมดได้

“ข้าต้องหาเงินเพิ่มให้ได้มากกว่านี้ และทางเดียวที่ได้เงินเร็วที่สุดก็คือ...บ่อนพนัน” หญิงสาวเอ่บกับตัวเอง

หยูชิงม่านไม่ใช่คนที่หลงใหลในการพนัน นางเข้าใจดีว่าการพนันนั้นมีทั้งได้และเสีย แต่หากรู้จักควบคุมตนเองและมีชั้นเชิง ก็คงพอจะใช้เป็นช่องทางหาเงินได้บ้าง

หญิงสาวแอบสอบถามจากเสี่ยวเอ้อที่ทำงานอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้มานาน จนรู้ว่ามีบ่อนพนันอยู่ที่ตรอกด้านตะวันตกของเมือง เป็นบ่อนที่เปิดโดยพวกคนใหญ่คนโต ดังนั้นแม้จะผิดกฎหมาย แต่ก็ยังคงดำเนินกิจการได้อย่างเปิดเผย

ทว่าปัญหาก็คือท่านปู่คอยดูแลนางไม่ห่าง โดยทุกครั้งที่

หยูชิงม่านจะออกไปข้างนอก หยูซานจิ้งก็มักจะถามไถ่หรือเดินตามมาด้วยเสมอ นางจึงไม่มีทางไปบ่อนได้อย่างเปิดเผยแน่นอน

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวก็เลือกใช้แผนแสร้งป่วย ไม่ว่าอย่างไรต้องหาทางทำให้ท่านปู่ยอมปล่อยนางอยู่ตามลำพังให้ได้

ดังนั้นเมื่อกลับเข้าห้อง นางจึงแสร้งทำท่าทางอ่อนแรง

สีหน้าซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะนั่งลงบนเตียงราวกับหมดเรี่ยวแรง และกล่าวคล้ายกับเจ็บปวดออกมา

“โอ้ย..ปวดหัวเหลือเกิน”

หยูซานจิ้งที่เดินตามเข้ามาเห็น ดังนั้นก็รีบขยับเข้ามาดูแลและถามด้วยความเป็นห่วง

“ม่านม่าน เจ้าเป็นอะไรไป” น้ำเสียงของชายชราเต็มไปด้วยความกังวล

“ข้า… รู้สึกเวียนหัว คล้ายจะเป็นลม” นางกล่าวเสียงพร่า พร้อมกับยกมือขึ้นกุมศีรษะ “อาจเป็นเพราะช่วงนี้ข้าคงกังวลมากเกินไปเจ้าค่ะท่านปู่”

หยูซานจิ้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขามองดูหลานสาวที่ร่างกายอ่อนแอลงทุกวันแล้วก็รู้สึกปวดใจ ก่อนจะเอ่ยบอก

หญิงสาวอย่างอ่อนโยน “เจ้าอย่าคิดมากนักเลย ควรพักผ่อนให้มากเข้าไว้ เอาล่ะปู่ไม่รบกวนเจ้าแล้ว”

“เจ้าค่ะ ท่านปู่” หยูชิงม่านรีบพยักหน้ารับทันที

และเมื่อเห็นท่านปู่เดินจากห้อง นางก็ลอบถอนหายใจเล็กน้อย “นี่เป็นโอกาสที่ดี ข้าต้องรีบไปที่บ่อนพนัน ก่อนที่ท่านปู่จะกลับมา”

คิดได้อย่างนั้น หยูชิงม่านจึงลุกขึ้นไปสวมชุดคลุมสีเข้มที่ปิดบังใบหน้าและรูปร่างของตนเอง จากนั้นก็พยายามทำตัวให้ดูเหมือนชายหนุ่มทั่วไปที่ไม่เป็นที่สะดุดตา ท่ามกลางผู้คนในตลาดที่ยังคงคึกคักหลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

นางแอบมองไปยังทางเข้าของบ่อนพนัน ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตรอกที่เงียบสงบ ในใจรู้สึกตื่นเต้นและกังวลไปพร้อมกัน

หญิงสาวเคยเป็นเซียนพนันตัวยงในชาติที่แล้ว แม้ในยามนี้จะมีร่างกายของหญิงสาวคนอื่น แต่ความสามารถในการเล่นพนันที่ฝึกฝนมาอย่างชำนาญยังคงฝังอยู่ในหัวสมอง จึงทำให้นางมั่นใจว่าหากตัดสินใจเข้าสู่บ่อนพนันครั้งนี้ จะสามารถทำเงินได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ต่างจากการเล่นในชีวิตก่อนที่ไม่เคยแพ้ผู้ใด

แต่ในชาติก่อนความสนใจที่มีต่อการพนันนั้น ทำให้แม่ของนางต้องห้ามปรามด้วยความหวังดี เพราะกลัวว่านางจะเสียคนจากการเล่นพนันมากเกินไป แม่จึงสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้บ่อนพนันโดยเด็ดขาด ยกเว้นแต่เมื่อถึงคราวที่เดือดร้อนจริง ๆ และต้องการเงินเท่านั้น

หยูชิงม่านยิ้มกับตัวเอง เมื่อคิดถึงคำสั่งของแม่ในอดีต

แต่ในยามนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากใช้ความสามารถที่เคยมี มาช่วยหลีกเลี่ยงความทุกข์ยากที่รออยู่ในอนาคต

เมื่อเดินมาถึงหน้าบ่อนพนัน หยูชิงม่านหยุดยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งและสำรวจบรรยากาศรอบข้างเพื่อหาทางหนีทีไล่

“บ่อนพนันที่นี่ดูไม่เหมือนกับบ่อนทั่วไปในเมือง มันซ่อนตัวอยู่ในซอยลึก มีการปิดประตูและหน้าต่างให้มิดชิด หากใครไม่รู้ อาจจะไม่รู้เลยว่าเป็นสถานที่ที่มีการเล่นพนันอยู่ในนั้น ช่างฉลาดหาที่ตั้งบ่อนจริง ๆ” นางมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยออกมาเบา ๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel