บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 ต้องรีบแก้ปัญหาเสียก่อน

บทที่ 4 ต้องรีบแก้ปัญหาเสียก่อน

หยูชิงม่านมองพี่ชายด้วยความตกใจ ก่อนจะกล่าวออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

“พี่ใหญ่กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ท่านจะให้ท่านปู่ไถ่ตัวนางโลมด้วยอย่างนั้นหรือ ท่านรู้หรือไม่ว่าต้องใช้เงินจำนวนมากเท่าไร ลำพังแค่เงินที่พวกเราต้องหามาไถ่ตัวท่านนี้ ก็ต้องเอาโรงเตี๊ยมไปค้ำประกันเพื่อกู้ยืมเงินเขามา แล้วจะให้ไปเอาเงินที่ไหนมาไถ่ตัวนางโลมผู้นั้นอีก”

“ข้าไม่รับรู้ว่าจะใช้เงินเท่าไร แต่จะต้องไถ่ตัวนางด้วย ไม่เช่นนั้นข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งสิ้น” หยูเทียนเฉิงสวนกลับอย่างเอาแต่ใจทันที เพราะเขารู้ว่าคนเป็นปู่ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เขาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่

หยูซานจิ้งที่ยืนข้างๆ ได้ฟังคำกล่าวของหยูเทียนเฉิงก็ส่ายหัวไปมา ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มและเด็ดขาดออกมา

“เทียนเฉิง เจ้าฟังปู่ให้ดีนะ ยามนี้เรามีเงินแค่พอไถ่เจ้าออกมาเท่านั้น ไม่มีเงินพอไปช่วยคนอื่น แต่หากเจ้ายืนยันที่จะตายอยู่ที่นี่ ปู่ก็คงจะต้องยอมตามที่เจ้าต้องการ”

หยูเทียนเฉิงกัดฟันแน่น ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทาอย่างโมโหเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น แต่เขาก็พยายามสะกดอารมณ์ไว้

แล้วเอ่ยเสียงอ่อนออกมา เพราะรู้ว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลกับคนเป็นปู่

“ท่านปู่ขอรับ แต่ข้ารักนางมาก ข้าอยากช่วยนาง ท่านปู่ช่วยข้าเถอะนะขอรับ ข้า...”

“เจ้าเงียบไปเลย” เสียงของหยูซานจิ้งแทรกขึ้นอย่างเด็ดขาด ทำให้หยูเทียนเฉิงหยุดทันที

“ยามนี้เจ้าควรรู้สำนึกเอาไว้บ้างว่า เจ้าทำสกุลหยูของพวกเราต้องติดหนี้ก้อนโต ทั้งยังทำตัวไม่เอาไหน ข้าจะช่วยเจ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย หากว่าเจ้ายังไม่คิดที่จะปรับปรุงตัวแล้วละก็

เจ้าจะไปไหนก็ไปเลย แต่จะไม่มีการไถ่ตัวนางโลมผู้ใดออกมาเพื่อเจ้า” หยูซานจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งและติดความเย็นชาอยู่ไม่น้อย

หยูเทียนเฉิงไม่ทางเลือกจึงได้แต่พยักหน้ารับ และเมื่อเขาถูกไถ่ตัวออกมาแล้วก็หนีหายเข้ากลีบเมฆไป ไม่ได้กลับไปที่โรงเตี๊ยมของตระกูลหยูอีกเลย แม้แต่หยูซานจิ้งกับหยูชิงม่านเอง

ก็ไม่ได้ข่าวของเขาอีก ทั้งสองจึงได้แต่ทำใจ และหวังว่าเขาคงยังไม่ตาย

กลับมาปัจจุบัน ม่านมัสลินรู้สึกเหมือนโลกหมุนไวเกินไป ความทรงจำทั้งหมดของเจ้าของร่างถาโถมเข้ามาจนเธอแทบจะรับไม่ไหว ร่างกายของเธอจึงตอบสนองด้วยการล้มลงไปอีกครั้ง ตอนนี้ภายในหัวของเธอมืดมิด ทุกอย่างรู้สึกเหมือนฝัน แต่ลึก ๆ ในใจกลับรู้สึกได้ถึงความเครียดที่สะสมจนเกินจะทนไหว

เสียงของหยูซานจิ้งดังแว่วมาจากข้าง ๆ “ม่านม่าน... ม่านม่าน...” ชายชราต้องเขย่าหญิงสาว เพื่อปลุกให้เธอตื่นขึ้นมา

ม่านมัสลินในร่างของหยูชิงม่านค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แต่ทว่าเมื่อสายตาของนางจับจ้องไปยังท่านปู่ที่ยืนอยู่ข้างเตียง ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมาอย่างหมดแรง

“ทำไมฟ้าดินถึงส่งข้ามาที่นี่ ทำไมข้าต้องเจอแต่เรื่องทุกข์ใจแบบนี้นะ”

หยูซานจิ้งเห็นหลานสาวตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ถอนหายใจ อย่างโล่งอก เดินไปที่โต๊ะไม้ข้างเตียง ก่อนจะยกถ้วยข้าวมาวางลงข้างหญิงสาว

“เจ้าฟื้นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง คงจะหิวแล้วสินะ

ปู่เตรียมข้าวไว้ให้เจ้าแล้ว” เขาถามขึ้นมาด้วยความห่วงใย

หยูชิงม่านมองถ้วยข้าวที่ท่านปู่วางลงตรงหน้า นางรู้สึกว่าแรงที่เคยหมดไปบางส่วน เริ่มกลับมาเมื่อเห็นความห่วงใยของท่านปู่ นางก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงเบา

“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านปู่”

หยูซานจิ้งนั่งลงข้างเตียง มือข้างหนึ่งก็แตะที่หน้าผากของหลานสาวพลางกล่าวออกมาอย่างผ่อนคลาย

“ตัวไม่ค่อยร้อนแล้ว น่าจะหายป่วยแล้วล่ะ”

หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท่านปู่แล้วกล่าวออกมาด้วยความวิตกกังวลในใจ “ท่านปู่... ข้ากังวลเรื่องหนี้สิน แล้วเช่นนี้พวกเราต้องจ่ายหนี้ให้หมดในเมื่อไรเจ้าคะ”

ชายชราถอนหายใจหนักหน่วง รอยยิ้มเศร้าก็ปรากฏบนใบหน้าเขาอย่างชัดเจน

“ยังเหลือเวลาอีกเจ็ดวัน หากพวกเราจ่ายไม่ได้ เวลานั้น... พวกเราจะต้องระเห็จออกจากโรงเตี๊ยมของตัวเอง” เขากล่าวออกอย่างเศร้าใจ เพราะนี่คือทรัพย์สินที่ตระกูลหยูมี หากต้องออกจากที่นี่ก็ไม่รู้ว่าจะพาหลานสาวไปอยู่ที่ใด

คำตอบนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงมาท่ามกลางความเงียบสงบ

หยูชิงม่านรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาทับหัว

“เจ็ดวัน แค่เจ็ดวันเองหรือเจ้าคะ” นางถามย้ำอีกครั้ง

รู้ดีว่าในช่วงเวลาเพียงเท่านี้ คงไม่สามารถหาเงินจำนวนมากมายถึงเพียงนั้นมาใช้หนี้ได้

หยูซานจิ้งพยักหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะกล่าวออกมา

“พวกเราทำดีที่สุดแล้ว ม่านม่าน ปู่เชื่อว่าเราจะหาทางออกได้ ถ้าหากไม่ไหวจริง ๆ เราก็จะย้ายแล้วไปใช้ชีวิตที่ชนบทอย่างสงบสุข ตอนนั้นคงไม่มีเรื่องให้หนักใจอีกแล้วล่ะ”

“แล้วท่านปู่ไม่เสียดายที่นี่หรือ ที่นี่คือบ้านของพวกเรานะเจ้าคะ” หยูชิงม่านกล่าวออกมาอย่างสงสัย ปกติแล้วคนที่แก่ชรามักจะงผูกพันและยึดติดกับบ้านที่อยู่มานาน

“เสียดายน่ะมันก็เสียดายอยู่หรอก ทว่าในเมื่อทำดีที่สุดแล้วหากยังไม่สามารถใช้หนี้ได้ พวกเราคงต้องคิดหาที่อยู่ใหม่” ชายชราเอ่ยออกมาคล้ายกับคนปลงตก ในเมื่อไม่มีทางออก สุดท้ายแล้วคงต้องจากที่นี่ไป

“ท่านปู่อย่าเพิ่งถอดใจนะเจ้าคะ พวกเรายังเหลือเวลาอีกตั้งเจ็ดวัน ข้าจะพยายามหาเงินมาใช้นี้ให้ได้มากที่สุด” หยูชิงม่านกล่าวออกมาอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ที่ทำไปก็เพื่อชายชราที่อยู่ตรงหน้า

หยูซานจิ้งนั่งนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะยิ้มอย่างเบาบาง และกล่าวอย่างอ่อนโยน

“ปู่ขอขอบใจเจ้ามากนะม่านม่าน แต่ยามนี้เจ้ากินข้าวแล้วพักผ่อนก่อนเถอะ อย่าเพิ่งคิดอะไรมากมายเลย พวกเราจะหาทางออกกันไปทีละขั้น”

หยูชิงม่านพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย และนั่งกินข้าวที่ท่านปู่วางไว้ให้ ในขณะที่สมองของนางกำลังคิดหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาโรงเตี๊ยมของตระกูลหยู ให้รอดจากถูกยึดทรัพย์เพราะหนี้สินที่ท่วมทับ

ยามนี้หยูชิงม่านนั่งอยู่ในห้องของนาง พลางจ้องมองไปที่กล่องไม้ที่เก่าตามสภาพกาลเวลาบนโต๊ะ ภายในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องประดับของร่างเดิม

ซึ่งเครื่องประดับเหล่านี้แม้จะไม่ได้หรูหราเหมือนของสตรีตระกูลใหญ่ แต่ก็ล้วนมีคุณค่าและฝีมือประณีต ทว่าในเวลานี้ สิ่งเหล่านี้กลับไม่ต่างอะไรจากวัตถุไร้ค่า เพราะไม่มีเงินติดตัวแม้แต่ตำลึงเดียว การเก็บรักษามันไว้ย่อมไม่ช่วยให้ชีวิตของนางและท่านปู่ดีขึ้นได้

หยูชิงม่านหยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งขึ้นมา ปิ่นนี้ทำจากเงิน สลักลวดลายดอกเหมย ดูเรียบง่ายแต่ก็งดงาม มันคงเป็นของขวัญที่มารดาของเจ้าของร่างเคยมอบให้ นางรู้สึกถึงความผูกพันที่หลงเหลืออยู่ในสิ่งของเหล่านี้

แต่เมื่อคิดถึงหนี้สินก้อนโตและภาระที่ต้องแบกรับ ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่น หญิงสาวสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะรวบรวมเครื่องประดับที่พอจะมีค่า ใส่ลงไปในห่อผ้าอย่างระมัดระวัง เมื่อนับดูแล้วก็มีกำไลหยกสองวง แหวนหยกหนึ่งวง และปิ่นเงินสองสามอัน

นางเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อพร้อมกับคิดในใจว่า

‘หากเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อยากใช้วิธีนี้เลย แต่ยามนี้มีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น’

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว หยูชิงม่านจึงเดินออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งตรงไปยังโรงรับจำนำที่อยู่ในตัวเมือง ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มองมา นางก้าวเดินไปด้วยความแน่วแน่ เพราะนี่คือ

ก้าวแรกของการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดของนางในยุคนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel