บทที่ 4 สาส์นถอนหมั้น (1/2)
"ท่านพี่เหยียนเฟิง" ฉงเสว่ปิงลุกพรึบ
จากแววตาเศร้าสร้อยแปรผันเป็นยิ้มร่าดีอกดีใจ ร่างบอบบางถลันเข้าหาบุรุษตัวสูงทันควัน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ฝ่ามือหยาบกร้านจากการกรำศึกง้างธนูยกขึ้นยีศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา
"เด็กดื้อ เจ้ากำลังสร้างความลำบากใดให้เสด็จพ่อเสด็จแม่กันเล่า"
ฉงเสว่ปิงนิ่วหน้า "ข้าเปล่าเสียหน่อย"
ตู้เหยียนเฟิงส่ายหน้าพลางอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู
"ปิงเอ๋อร์ วิ่งกระโดกกระเดกเช่นนี้ได้อย่างไร โตเป็นสาวแล้ว ไยจึงเกาะแขนเกาะขาพี่เขาอย่างนั้นเล่า" เฉิงเหยาตำหนิเสียงแผ่ว
"เสด็จแม่อย่าต่อว่านางเลยพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีนางกับข้าเราก็สนิทสนมกันตั้งแต่เยาว์" ตู้เหยียนเฟิงกล่าว
"ได้อย่างไร เจ้าเองก็เป็นบุรุษ ควรออกเรือนมีชายาและองค์หญิงองค์ชายน้อยให้แม่กับเสด็จพ่ออุ้มได้แล้ว"
ตู้เหยียนเฟิงค้อมศีรษะ "เสด็จแม่ ช่วงนี้แถบชายแดนยังไม่สงบ เรื่องนี้กระหม่อมยังไม่เร่งร้อนพ่ะย่ะค่ะ"
ผู้เป็นดั่งบิดามารดาแห่งแคว้นสุ่ยเหอต่างระบายลมหายใจอ่อน เสียงทุ้มเอ่ย "เอาเถิด พวกเจ้าสองพี่น้องนิสัยไม่ต่างกันเลย มาแล้วก็พักที่ตำหนักสักหลาย ๆ วัน"
"ขอบพระทัยเสด็จพ่อ" เจ้าของร่างสูงจึงเดินย่างกรายเข้ามาเนิบช้า ข้างกายยังมีองค์หญิงตัวแสบเกาะแขนไม่ห่าง
"ท่านพี่เหยียนเฟิง เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านบอกว่าไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง" ฉงเสว่ปิงยิ้มแฉ่ง เอ่ยท้วงคำกล่าวของอีกฝ่ายด้วยความกระตือรือร้น
"หึ!" ฝ่ามือกว้างเขย่าศีรษะเล็กจนสั่นคลอนไปหนึ่งครา "แน่นอน" จากนั้นทั้งสองจึงนั่งประจำที่ เขาหย่อนกายนั่งกล่าวต่อว่า "เสด็จพ่อ หากปิงเอ๋อร์ไม่อยากแต่งก็อย่าได้บังคับนางเลยพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีในพันธสัญญาเคยมีระบุ หากฝ่ายใดไม่เต็มใจอภิเษกจะต้องมอบดินแดนให้แคว้นนั้นหนึ่งส่วนมิใช่หรือ ข้าเห็นว่าชายแดนทางใต้แม้จะอุดมสมบูรณ์แต่ก็ยังสามารถแบ่งให้กับแคว้นไต้เจียได้โดยที่เมืองหลวงไม่ได้รับความเสียหายใด"
ฉงเจิ่งหมินระบายลมหายใจอ่อน "เดิมทีก็ทำได้ แต่ว่าราษฎรแถบนั้นเล่า เจ้าคิดว่าพวกเขาเต็มใจอยากเป็นคนแคว้นอื่นหรือ หากเป็นเจ้าก็คงไม่อยากเปลี่ยนรากฐานบ้านเกิดใช่หรือไม่"
"เอ่อ...นั่นก็ถูก ทว่าแคว้นไต้เจียก็สงบสุขมาช้านาน แบ่งดินแดนไปหนึ่งส่วนเท่านั้น ราษฎรคงมิได้รับความลำบากใดมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ"
ฉงเสว่ปิงกะพริบดวงตาถี่ มองหน้าบิดาทีเหลือบมองหน้าบุรุษข้างกายที สลับไปมาแทบเวียนศีรษะ
"เหยียนเฟิง เจ้าคงไม่รู้ว่าการเป็นผู้นำนั้นง่ายนัก ทว่าการจะทำให้ราษฎรรักและศรัทธาช่างไม่ง่ายเลย อีกอย่างหากส่งหนังสือยกเลิกพิธีอภิเษกโดยไร้สาเหตุ แคว้นไต้เจียอาจคิดว่าแคว้นสุ่ยเหอเริ่มไม่เถรตรง วันหนึ่งต้องส่งผลให้บังเกิดทะเลโลหิต เข้าสู่ช่วงกลียุคแห่งแคว้น หากเป็นเช่นนั้นข้ามิอาจทนนิ่งดูดายได้จริง ๆ"
ฉงเสว่ปิงโพล่ง "เสด็จพ่อ ต่อให้ข้าแต่งหรือไม่แต่ง สักวันเพลิงสงครามก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี คนเช่นชินอ๋องมักใหญ่ใฝ่สูง ทิฐิถือดี ที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดคงเป็นเขาที่ไม่ยอมรับว่าตนถูกสตรีถอนหมั้นกระมัง"
"ปิงเอ๋อร์" เฉิงเหยาส่งสายตาปราม
ทว่านางกลับถอนหายใจ ยกมือกอดอกแน่น จากนั้นจึงเบือนหน้าหนี หัวเด็ดตีนขาดนางก็ไม่ยอมกลับไปสู่ประตูนรกแห่งนั้นอีกเป็นแน่
"เอาล่ะ ๆ เช่นนั้นข้าจะลองเจรจาเรื่องนี้กับทางแคว้นไต้เจียดูก่อน" ฉงเจิ่งหมินถอดถอนใจอย่างนึกปลดปลง
ฉงเสว่ปิงหันหน้าขวับ ริมฝีปากกลีบกุหลาบฉีกยิ้มกว้าง ร่างบอบบางวิ่งถลาเข้าซบตักของบิดาทันควัน "เสด็จพ่อ ข้ารู้ว่าถึงอย่างไรท่านก็รักข้าที่สุด เอาอย่างนี้หากท่านต้องการให้ข้าแต่งงาน เช่นนั้นข้าคิดว่าแต่งเข้าแคว้นมิดีกว่าหรือเพคะ ท่านจะได้มีบุตรเขยไว้ช่วยแบ่งเบาราชกิจด้วย"
เสียงทุ้มหัวเราะขัน "บุตรเขยหรือ พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้ามีบุรุษในใจแล้วรึ"
ฉงเสว่ปิงผละศีรษะออก "เปล่าเพคะ เพียงแต่ ข้าไม่ต้องการสวามีที่เก่งกาจหรือบุญหนักศักดิ์ใหญ่ใด ขอเพียงคนผู้นั้นรักข้า และรักพวกท่านเช่นข้าก็เพียงพอแล้ว"
"โถ ปิงเอ๋อร์" เฉิงเหยาดวงตาแดงก่ำ
ฉงเสว่ปิงจึงลุกเดินเข้าไปสวมกอดผู้เป็นมารดา แววตาของนางแปรผันเป็นมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว "เสด็จแม่ ข้ารักท่าน... หากชินอ๋องต้องการข่มเหงแคว้นสุ่ยเหอ ข้าจะเป็นคนจับดาบง้างธนูประจันหน้ากับเขาเอง"
