ตอนที่ห้า ไม่น่าประมาท
ฟิ้ว... เช้ง....ฉับ...
เสียงการต่อสู้ดังชุลมุน ต่างฝ่ายต่างใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันจนมองแทบไม่เห็นว่าฝ่ายใดเหนือกว่า
จางซีเว่ย แม่ทัพใหญ่หนุ่มแน่นวัย25ปี ได้รับคำสั่งให้ออกมาปราบปรามกองโจรที่ฮึกเหิมออกอาละวาดในละแวกชายแดนเมืองเซินซานแห่งนี้ เนื่องจากแถบนี้มีภูเขาสูงมากมายจึงทำให้เหล่าโจรอาศัยหลบหนีตามแนวเขาและภูสูงจนยากแก่การปราบปราม
ล่าสุดกองโจรกลุ่มใหญ่ถึงกับกล้าเข้าปล้นชิงขบวนองค์หญิงบรรณาการจากแคว้นยงซึ่งเดินทางข้ามชายแดนมาได้เพียงไม่นาน เมื่อพวกเขามาถึงพบเพียงซากศพนอนตายอยู่เกลื่อน ส่วนของมีค่า ของบรรณาการและตัวขององค์หญิงได้หายไปแล้ว
เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้แห่งแคว้นโยวโกรธกริ้วมาก เพราะโจรปล้นชิงนางสนมวัยเยาว์ที่ผู้คนกล่าวขานว่างดงามมากไป ซึ่งถือเป็นการหยามเกียรติอย่างยิ่ง ในขณะที่ฮ่องเต้แคว้นยงก็ส่งสารมาตำหนิอย่างหนักโดยอ้างว่าห่วงใยความปลอดภัยของธิดารักซึ่งอุตส่าห์ส่งมาเป็นบรรณาการ แต่แคว้นโยวกลับไม่สามารถปกป้องนางได้
เขาจึงต้องออกมาไล่ล่ากลุ่มโจรเหล่านี้ซึ่งมีหลายกลุ่มหลายกอง
ด้วยความไม่เข้าใจว่า เหตุใดฮ่องเต้ทั้งสองพระองค์จึงไม่ส่งกองกำลังคุ้มกันให้มากตั้งแต่แรก ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วถึงจะสามารถค้นหาองค์หญิงน้อยนางนั้นจนพบเจอก็คงไม่เหลือสภาพใดได้อีกแล้ว เขาไม่อยากจะคิดถึงสภาพที่อาจจะได้พบเมื่อเจอสาวน้อยนางนั้นเลย
เพราะมัวแต่คิดถึงสภาพและสงสารองค์หญิงน้อยทำให้เขาลดการระวังตัวทำให้ปัดธนูที่ยิงเข้ามาอย่างรวดเร็วไม่ทัน
อั๊ก...ธนูปักตรงไหล่ซ้าย โชคดีที่เข้าไม่ลึกมากนัก เขาจึงรีบดึงออกแล้วหมุนม้าหนีโดยเร็ว
พวกโจรเมื่อเห็นว่าเขาผู้เป็นหัวหน้าได้รับบาดเจ็บจึงเพิ่มความฮึกเหิมมุ่งกำลังโจมตีมากขึ้น จนพวกเขาต้องแยกย้ายกันหลบหนีไปคนละด้าน เขาขี่ม้าหนีเข้าป่าลึกขึ้นด้วยอาการปวดร้าวของรอยแผลจากธนู
“บัดซบ ธนูเคลือบยาพิษ พวกโจรเหล่านี้ช่างมีเงินมีพรรคพวกเยอะเสียจริงถึงกับจัดหายาพิษมาเคลือบบนธนูเพื่อทำร้ายเหล่าทหารถึงขนาดนี้” จางซีเว่ยสบถด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะขี่ม้าเร็วขึ้นเพื่อหาที่ซ่อนตัว
จนถึงป่ารกทึบ เขาจึงสละม้าเพื่อให้การติดตามยากขึ้น แล้วเดินเท้าพลางทำสัญลักษณ์ให้คนของเขาติดตามมาถูกทางก่อนจะล้มลงนอนด้วยความเจ็บปวดจากพิษบาดแผลจนสลบไป
ยามเมื่อเขารู้สึกตัวอีกครา รู้สึกได้ว่ามีหญิงสาวตัวเล็กสองคนกำลังพยายามพยุงตัวเคลื่อนย้ายเขาไปยังที่แห่งหนึ่ง เขาหลับตาลงพลางฟังเสียงเพื่อไม่ให้ทั้งสองแตกตื่น
“ยายไหวหรือไม่ ทิ้งน้ำหนักเขามาทางข้าก็ได้ ข้ารับไหว” เสียงใสใสของสาวน้อยเอ่ยขึ้นขณะขยับให้เขาพิงไปทางร่างของตัวเองมากขึ้น
เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจากเรือนร่างน้อยข้างตัว
“ยายยังไหว อาอิง เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเราค่อยๆเดิน ใกล้จะถึงแล้ว” เสียงสูงอายุของหญิงอีกด้านเอ่ยขึ้นมา
คงจะเป็นยายของสาวน้อยที่นางเอ่ยเรียก
พวกเขาสองยายหลานพยุงตัวเขาอย่างยากลำบากด้วยน้ำหนักตัวที่มากและเรือนร่างที่ใหญ่โต กว่าจะมาถึงยังห้องที่พวกเขาหมายมาดไว้ก็คงจะเหนื่อยมาก เพราะเขาได้ยินเสียงหอบหายใจ
“เอาล่ะ เดี๋ยวยายจะถอดเสื้อออกและเช็ดเลือดเพื่อดูว่าเขาเจ็บตรงที่ใดบ้าง” ผู้เป็นยายพูดขณะขยับเข้ามาถอดเสื้อของเขาออกเพื่อดูจนทั่ว
“เอ่อ...ข้าไปต้มน้ำร้อนมาเช็ดแผลก่อนดีกว่า” เสียงสาวน้อยรีบวิ่งออกไป
นางคงไม่อยากเห็นสภาพอาบเลือดไปทั่วร่างของเขากระมัง
พวกนางทั้งสองช่วยกันดูแลเขาเป็นอย่างดีตามประสา ทั้งเช็ดเลือด ล้างบาดแผล ใส่ยา พันแผลให้ จวบจนยามค่ำคืนที่เขาตัวร้อนมีไข้สูงเพราะพิษบาดแผล สาวน้อยนางนั้นก็ยังสู้อุตส่าห์ฝืนความง่วงช่วยเช็ดตัวคลายความร้อนให้กับเขาจนถึงกับนอนหลับไปข้างกองฟืน
ทหารคนสนิท’ลู่หาน’ติดตามมาจนถึงห้องเก็บฟืนพบเขานอนกองอยู่ โดยมีสาวน้อยนอนกำผ้าเช็ดตัวหลับอยู่ข้างกัน
เขาบอกให้ลู่หานเบาเสียงลงเพราะกังวลว่าสาวน้อยข้างๆจะตื่นขึ้นมาพบ
ลู่หานพยายามจะหาทางพาเขากลับไปรักษาตัวต่อที่จวนแม่ทัพแต่เขายังไม่อยากกลับไปตอนนี้ จึงสั่งให้ลู่หานไปหายาถอนพิษมาก่อน โดยยืนยันที่จะยังไม่กลับไปที่จวนแม่ทัพเพื่อไม่ให้เหล่าโจรที่ทำร้ายรับรู้ข่าวคราวว่าเขาถูกพิษ รอรักษาตัวให้หายดีกว่านี้อีกสักหน่อยจึงค่อยกลับไป พร้อมปล่อยข่าวว่าเขาสบายดีและออกไปตรวจเยี่ยมชายแดนอยู่ เพื่อไม่ให้พวกโจรได้ใจฮึกเหิมมากขึ้น
แต่อีกเหตุผลหนึ่งลึกๆในใจก็คือ เขายังอยากเห็นหน้าเล็กๆของสาวน้อยนางนี้อยู่ ยามนางคิดว่าเขาไม่รู้สึกตัวนางจะเข้ามาดูแลเขาด้วยความตั้งใจ นางมีทักษะการเช็ดตัวและดูแลบาดแผลอย่างดี น้ำหนักมือเบาสบาย กลิ่นหอมบางเบาจากกายนางช่างหอมหวานจนเขาอยากสูดดมอยู่ทุกวี่วัน
นี่เขาคิดอะไรอยู่ นางเป็นเพียงสาวน้อยนางหนึ่งที่มีบุญคุณช่วยชีวิตเขาไว้ เขาไม่ควรคิดเช่นชายโฉดเช่นนั้น
หลังนอนรักษาตัวอยู่หลายวันจนอาการดีขึ้นมาก เมื่อเห็นว่าเขาฟื้นแล้ว แม่นางน้อยก็เข้ามาดูแลเขาน้อยลง บางครายังทาสีบนใบหน้าจนดูแปลกประหลาดไป
เขาเห็นตั้งแต่วันที่นางเข้ามาช่วยเช็ดตัวให้แล้วว่า สาวน้อยนางนี้มีใบหน้าที่งดงาม ผิวพรรณผุดผ่อง เรือนร่างอรชร ผิดกับชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ยามเมื่อยายเฒ่าบอกว่านางเป็นหลานสาว โดยเรียกนางว่าอาอิง เขาจึงยังไม่เชื่อโดยสนิทใจนัก เพราะทั้งคู่ดูไม่เหมือนเครือญาติกันเลยสักนิด แต่เขาไม่อยากซักไซ้ให้พวกนางรู้สึกลำบากใจ ถึงอย่างไรพวกนางก็มีจิตใจดี
เมื่ออาการบาดเจ็บใกล้หายดีแล้ว เขาได้นัดแนะให้ลู่หานมารับโดยเตรียมเงินจำนวนมากมาด้วยเพื่อตอบแทนบุญคุณให้กับยายหลานคู่นี้
พวกนางเป็นเพียงชาวบ้านที่ยังลำบาก หากมีเงินมากหน่อยคงพอช่วยให้พวกนางได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้
ยายเฒ่าปฏิเสธเมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วว่าถุงเงินหนักมากตามคาด แต่เขาไม่ยินยอมจึงกำมือยายเอาไว้จนแน่นเพื่อไม่เปิดโอกาสให้นางส่งถุงเงินคืนมา
พวกนางเดินจูงมือกันออกมาส่งเขาขึ้นรถม้าอย่างโล่งใจ เขาหันไปมองใบหน้าที่ทาสีจนคล้ำของสาวน้อยที่ชื่ออาอิง
สาวน้อยนางนี้ต้องมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาแน่นอน นางเป็นผู้ใดกันแน่ หากมีเวลาเขาคงต้องสืบให้ชัดเจน
แต่ยามนี้เขาคงต้องกลับไปทำงานก่อน เอาไว้ค่อยมาตามชดเชยให้พวกนางทั้งสองก็แล้วกัน
