ตอนที่สอง องค์หญิงสิบเก้า
ฉันรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งด้วยความมึนงง ปวดหัวและเจ็บหน้าอก น่าจะกินน้ำเข้าไปเยอะมาก จับเนื้อตัวดูพบว่าแห้งดีแล้ว คงมีคนช่วยฉันขึ้นมาได้ สายตากวาดมองไปรอบๆ
ที่นี่ที่ไหน ดูคล้ายกระท่อมเก่าๆ อาจจะเป็นบ้านของชาวบ้านริมแม่น้ำละมั้ง
“อ้าว...แม่หนู ตื่นแล้วหรือ เจ้าหลับไปหลายวันเชียว ยายคิดว่าจะไม่รอดเสียแล้ว เอ้า...เมื่อตื่นแล้วก็ดี ยายจะออกไปต้มโจ๊กให้ เจ้ารอประเดี๋ยวนะ” ยายสูงอายุคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเมื่อเห็นว่าเธอลืมตาตื่นแล้วก็ยิ้มแย้มอย่างดีใจ
แต่...ยายพูดจาแปลกๆ การแต่งกายก็แปลก ดูไม่น่าจะใช่ชาวบ้านริมน้ำธรรมดา
โอ๊ะ! อยู่ๆสมองก็หมุนติ้วเร็วจี๋จนฉันปวดหัวแทบจะระเบิด
ผ่านไปนานจนอาการปวดเริ่มดีขึ้น ฉันจึงลืมตามองเนื้อตัวของตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความสับสน
ร่างนี้ ไม่ใช่ร่างของฉันจริงๆเสียด้วย
ความทรงจำที่พุ่งเข้ามาเมื่อสักครู่เป็นความทรงจำของร่างเดิมนี้ แล้วฉันล่ะ ร่างของฉันหายไปไหน แล้ววิญญาณของร่างเดิมนี้ก็ด้วย นางหายไปที่ไหนแล้ว
ฉันนั่งงงด้วยไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันยังเป็นนางสาวนภาสินี นักศึกษาสาวชั้นปีสุดท้ายอยู่เลย ทำไมตอนนี้ฉันถึงได้กลายมาเป็น’ยงเฟยอิง’ องค์หญิงสิบเก้าแห่งแคว้นยงคนนี้ได้ล่ะ แล้วฉันมานอนทำอะไรที่นี่
“เอ้า...ยายต้มโจ๊กร้อนๆมาให้แล้วนังหนู เจ้าค่อยๆกินนะจะได้มีแรง” ยายเฒ่าคนเดิมเดินยกชามโจ๊กที่มีควันลอยสูงมาให้อย่างใจดี
ฉันได้โอกาสถามเรื่องราวในทันที
“ที่นี่ที่ไหนหรือจ๊ะยาย แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรจ๊ะ”
“เจ้าพูดจาแปลกๆ” ยายเฒ่าสวนขึ้นมาทันที
“โอ๊ะ..ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าลืมตัวไป ข้าอยู่ที่ไหนแล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ” ฉันรีบเปลี่ยนการพูดจาเป็นแบบที่อยู่ในความทรงจำของร่างนี้ทันที
“ที่นี่คือบ้านของยายเอง ยายชื่อว่านปา เมื่อไม่กี่วันก่อนยายออกไปเก็บสมุนไพรแถวริมแม่น้ำ เห็นเจ้าลอยมาติดอยู่ที่ริมตลิ่ง นอนหายใจรวยรินแต่ไม่มีบาดแผลใด ยายจึงพาเจ้ามานอนรักษาตัวอยู่ที่นี่”
“ว่าแต่เจ้าเป็นผู้ใดล่ะ เป็นสาวเป็นนางเหตุใดจึงได้ลอยน้ำมาเพียงผู้เดียว” ยายเฒ่าว่านปาถามขึ้นบ้าง
ฉันทบทวนความทรงจำของร่างนี้ ได้ความว่า องค์หญิงสิบเก้าคนนี้มีอายุเพียง16หนาวเท่านั้น นางเป็นบุตรสาวของนางสนมที่ไม่สลักสำคัญคนหนึ่งของแคว้นยง ด้วยความที่มีความงามเลื่องชื่อจึงโดนส่งมาเป็นบรรณาการให้กับฮ่องเต้แคว้นโยวซึ่งเซ็นสัญญาสงบศึกกัน แต่ฮ่องเต้องค์ที่ว่ามีอายุเกือบ60แล้ว จัดว่าเป็นปู่ของนางได้เลยทีเดียว นางจึงเศร้าโศกเสียใจมาก ระหว่างที่เดินทางมานางร้องห่มร้องไห้ไม่ได้หยุด
จนกระทั่งอยู่ๆก็มีการปล้นชิงเครื่องบรรณาการโดยโจรกลุ่มใหญ่ บรรดาองครักษ์ที่มาพร้อมกับขบวนของนางโดนฆ่าตายเกือบทั้งหมด ที่เหลือรอดก็หนีไปที่ใดสุดจะรู้ได้ นางกำนัลของนางโดนจับตัวไว้ทั้งสองคน ส่วนนางเองก็เกือบจะโดนจับตัวไว้เป็นของเล่นของพวกโจรหากมิใช่ว่านางตัดสินใจกระโดดลงหน้าผาน้ำตกเพื่อหนีความอัปยศในครั้งนี้
นี่หมายความว่าร่างนี้เป็นองค์หญิงที่หนีมา เมื่อคิดได้ว่าตอนนี้ทุกคนน่าจะเข้าใจว่านางตายไปแล้ว ดังนั้นฉันก็ไม่ควรบอกเรื่องนี้กับใคร
ฉันตัดสินใจไม่บอกความจริงทั้งหมดกับยายเฒ่าพร้อมเอ่ยคำขอโทษอยู่ภายในใจ
“ข้าชื่อว่านเฟยอิงเจ้าค่ะ” ฉันเปลี่ยนแซ่ไปใช้แซ่เดียวกับยายเฒ่าเสียเลย เพราะนึกไม่ทัน
“อ้าว...เจ้าแซ่เดียวกับยายหรือนี่ ดีจริง พวกเราอาจจะเป็นญาติกันทางใดทางหนึ่งก็ได้นะ” ยายเฒ่าหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงลอยน้ำมาอย่างนั้นเล่า”
“ข้าจำได้เพียงว่าโดนโจรปล้นเจ้าค่ะ พ่อแม่ข้าโดนฆ่าตายหมดแล้ว พวกโจรปล้นเอาทรัพย์สินไปทั้งหมดแล้วยังตั้งใจจะจับข้าไปกระทำย่ำยี ข้ากลัวมากจึงกระโดดน้ำหนีมาเจ้าค่ะ” ฉันเล่าความจริงเพียงบางส่วนเพื่อให้สมจริง พลางร้องไห้ประกอบเพื่อให้ดูน่าสงสาร
“โธ่..ช่างน่าสงสารเสียจริง พวกโจรจัญไรนี่ช่างชั่วช้ายิ่งนัก พวกมันออกอาละวาดแถบภูเขานี่ไม่เว้นแต่ละวัน ทางการก็พยายามออกไล่ล่า แต่พวกมันก็หลบซ่อนตัวกันเก่งนัก เอาเถอะในเมื่อเจ้าไม่มีพ่อแม่แล้ว เจ้ายังมีญาติคนอื่นอยู่อีกหรือไม่เล่า” ยายเฒ่าถามด้วยความหวังดี
“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ พวกเราตั้งใจจะย้ายมาตั้งรกรากที่แคว้นโยวเพราะเห็นว่าน่าจะทำการค้าได้ดีกว่า แต่กลับ... ฮือ ฮือ ฮือ” คราวนี้ฉันร้องไห้เสียงดังของจริงเพราะคิดถึงชีวิตตัวเองว่าต้องมากลายเป็นใครก็ไม่รู้ นี่ถ้าเป็นองค์หญิงในวังสุขสบายก็คงจะดี แต่กลับกลายเป็นองค์หญิงตกยากเสียนี่
“โอ๋ๆๆ เจ้าไม่ต้องร้องไห้ หากเจ้าไม่มีผู้ใดก็มาอยู่กับยายเถอะนะ ถึงอย่างไรยายก็อยู่ตัวคนเดียว ตาเฒ่าด่วนตายจากยายไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ลูกชายคนเดียวของยายก็ตายในสนามรบเมื่อหลายปีก่อน ยายเองก็เหงา หากได้เจ้ามาอยู่ด้วยก็คงจะดี” ยายเฒ่าพูดอย่างมีน้ำใจ
“ขอบคุณยายมากเจ้าค่ะ” ฉันรีบก้มขอบคุณเพราะตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี ในเมื่อมีผู้เสนอตัวอุปถัมภ์ให้ที่อยู่ที่กิน ก็ยังดีกว่าออกไปเร่ร่อนกลางทาง
“เจ้าเรียกยายว่า’ยายปา’ก็แล้วกัน ปาที่แปลว่าแปดน่ะ เพราะยายเป็นลูกคนที่แปด แม่ของยายเป็นคนบ้านนอก พวกเราตั้งชื่อลูกกันง่ายๆอย่างนี้แหละ ส่วนเจ้ายายจะเรียกเจ้าว่า’อาอิง’ก็แล้วกันนะ” ยายปาบอกอย่างใจดี
“ได้เจ้าค่ะ ยายปา” ฉันรีบรับคำ
“เจ้านอนมาหลายวันแล้วจะไปอาบน้ำบ้างหรือไม่เล่า มีคูน้ำเล็กๆอยู่ที่ด้านหลังบ้าน เสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่มาขาดลุ่ยหมดแล้ว เจ้านำเสื้อผ้าของยายไปใส่ก่อนก็แล้วกัน อีกสองวันยายจะไปขอเสื้อผ้าของนังหนูลูกผู้ใหญ่บ้านมาให้แล้วจะไปแจ้งว่ามีหลานจากต่างเมืองมาพักอาศัยอยู่ด้วย” ยายปานำเสื้อผ้าสีซีดจางที่พับอย่างเรียบร้อยมาส่งให้ ดูแล้วนี่น่าเป็นชุดที่ดีที่สุดของยายเฒ่าแล้ว
ฉันจึงรีบตอบรับความมีน้ำใจนั้นด้วยรอยยิ้มและคำขอบคุณ
หลังจากอาบน้ำอย่างสดชื่นมาแล้ว ถึงแม้จะไม่มีสบู่หรืออุปกรณ์อื่นใดแต่เพียงได้ใช้น้ำลูบคราบเหงื่อไคลออกไปบ้างก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
เมื่อมีเวลาจึงเริ่มเดินสำรวจบริเวณโดยรอบ บ้านของยายปาสร้างอยู่อย่างโดดเดี่ยว มองไม่เห็นบ้านเรือนคนใกล้เคียง โดยรอบมีเพียงสวนสมุนไพร พืชผักที่ยายคงปลูกไว้ทำกิน และต้นไม้ใบหญ้ารกครึ้ม มีเพียงคูน้ำที่ลงมาอาบน้ำที่ร่มรื่นสบายตา
“เสร็จแล้วก็มาช่วยยายทำกับข้าวกัน” ยายปากวักมือเรียกให้ฉันเดินเข้าไปในครัวเล็กหลังบ้านอย่างเป็นกันเอง
กับข้าวที่ยายปาเตรียมไว้เป็นอาหารง่ายๆ ที่หยิบจับจากพืชสวนใกล้บ้าน ทั้งผัดผักและต้มจืด ยายปายังต้มข้าวต้มไว้อีกหม้อด้วย
“เจ้าเพิ่งฟื้นต้องกินให้มากหน่อย” ยายเฒ่าพูดอย่างห่วงใย
ฉันเดินเข้าไปกอดยายปาผู้มีพระคุณที่ทั้งช่วยชีวิตและให้ที่อาศัย
“ถ้าไม่มียาย ข้าคง...” น้ำตาเริ่มไหลหยดออกมาอีกแล้ว
“โอ๋...ไม่ต้องร้องไห้” ยายปาปาดน้ำตาให้อย่างเบามือ ขณะมองสำรวจใบหน้าและเรือนร่างของสาวน้อยตรงหน้า
“ตอนที่ลากเจ้าขึ้นมา ยายก็พอจะเห็นอยู่ว่าเจ้าน่าจะเป็นเด็กสาวที่งดงาม แต่เมื่อเจ้าล้างหน้าล้างตาออกมาแล้ว เจ้าไม่น่าจะใช่บุตรสาวคนธรรมดาทั่วไป เพราะเจ้างดงามมากและมีกิริยาดั่งเช่นหญิงสาวชั้นสูง เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ตามหาญาติพี่น้อง” ยายปาเริ่มไม่สบายใจ
“ข้าแน่ใจเจ้าค่ะ”
ความจริงฉันก็ลองสำรวจร่างนี้มาแล้วเมื่อตอนอาบน้ำ เงาใบหน้าที่สะท้อนออกมาดูสวยงามอ่อนหวานน่าทะนุถนอม ผิดกับใบหน้าของฉันยามเป็นนภาสินี ที่จะดูเป็นสาวเท่มากกว่า นอกจากนี้เรือนร่างก็อ่อนช้อยอรชรอ้อนแอ้น เอวเป็นเอวโค้งเว้าเป็นตัวเอส อกเป็นอกตูมเต่งได้รูปสวย สะโพกผายก้นแน่น ผิวขาวเนียนละเอียด ผมยาวสลวยถึงสะโพกเรียกว่าเป็นผู้หญิงสวยสมบูรณ์แบบ สมแล้วที่เป็นองค์หญิงในวังที่น่าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี นี่ถ้าอยู่ในยุคปัจจุบันคงไม่แคล้วโดนทาบทามไปประกวดนางงามแน่นอน
ได้เข้ามาอยู่ในร่างของสาวงามก็คงดีกว่าอยู่ในร่างคนขี้เหร่ล่ะมัง
ฉันได้แต่คิดปลอบใจตัวเอง
พวกเราสองคนกินข้าวกันอย่างเป็นกันเอง ยายปาเป็นคนพูดเก่ง สรรหาเรื่องมาเล่าให้ฉันสบายใจ ยายบอกว่าไม่ได้พูดมานานแล้วตั้งแต่ตาเฒ่าสามีตายไป เมื่อก่อนยายพูดบ่นทุกวันจนตาเฒ่าน่าจะทนไม่ไหวรีบหนีจากไปเสียก่อน
ฉันอดหัวเราะมุกตลกขำขันของยายไม่ได้ ยายพยายามให้ฉันคลายจากเรื่องเศร้าที่สูญเสียคนในครอบครัว จนฉันรู้สึกละอายใจที่โกหกยาย แต่ทำอย่างไรได้ขืนบอกความจริงออกไป ยายคงไล่ฉันออกจากบ้านแทบไม่ทัน
ผ่านไปสองวันยายปาก็นำเสื้อผ้าของหญิงสาวมาให้สองตัว ถึงแม้จะซีดจางและมีรอยปะชุนไปบ้าง แต่ใส่ได้พอดีตัวกว่าไม่รุ่มร่าม ฉันจึงรับมาใส่อย่างยินดี
ฉันใช้ชีวิตผ่านไปวันวันด้วยการครุ่นคิดถึงอนาคตที่นี่ว่าจะทำอย่างไรดีหากว่าฉันยังคงตื่นขึ้นมาในร่างนี้โดยที่ไม่สามารถกลับไปเป็นนภาสินีเหมือนดั่งเดิมได้
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฉันก็ต้องอยู่ให้ได้ และต้องอยู่ได้อย่างดีด้วย ดังนั้นหากผ่านไปครบหนึ่งเดือนแล้วฉันยังคงตื่นขึ้นในร่างนี้อีก ฉันคงต้องทำอะไรมากกว่าแค่นั่งๆนอนๆไปวันวันเช่นนี้
