บท
ตั้งค่า

ตอนที่หนึ่ง ล่องเรือหรู

เย้!....ในที่สุดก็ปิดยอดขายได้ตามเป้า ได้รางวัลดินเนอร์ล่องเรือหรูแล้ว ฉันทำได้เย้ๆๆ

ฉันเหยียดแขนสูงบิดตัวเพื่อไล่อาการเมื่อยขบจากการนั่งจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

เวลานี้5ทุ่มกว่าแล้ว พรุ่งนี้มีสอบคงต้องรีบเข้านอนไม่อย่างนั้นสมองคงมึนจนทำข้อสอบไม่รู้เรื่องแน่ๆ

ขายของออนไลน์ก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพิ่งขายแค่ไม่กี่เดือนก็ทำได้ตามเป้าแล้ว นี่ถ้าทำของออกมาขายเองต้องได้กำไรมากกว่านี้แน่ๆ

ฉันนอนคิดฝันหวานแต่เรื่องการค้าขายโดยไม่ได้ใส่ใจอ่านหนังสือวิชาที่จะสอบเลย ก็ช่วงนี้เป็นช่วงกำลังเห่อเพราะฉันไปสมัครขายเครื่องสำอางออนไลน์ยี่ห้อหนึ่งแล้วทำยอดได้ดีจนเป็นถึงตำแหน่งสตาร์ของบริษัทเชียวนะ ได้รางวัลล่องเรือมาเป็นกำลังใจ เลยอดตื่นเต้นไม่ได้

ความจริงฉันไม่ได้ตั้งใจจะขายของออนไลน์หรอกนะ เพราะวิชาที่ฉันกำลังเรียนอยู่เป็นคนละสายเลย ฉันกำลังเรียนอยู่ปีสุดท้ายของคณะที่มีชื่อเสียงด้านการรักษาแนวทางเลือก เช่นการนวดบำบัด การกดจุด ฝังเข็ม แล้วก็การใช้สมุนไพรต่างๆ แต่ที่ฉันชอบมากกลับเป็นการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆเกี่ยวกับความงามเช่นสบู่ แป้ง ลิปสติก ซึ่งฉันได้ทดลองทำออกมาหลายชนิดหลายแบบแจกให้เพื่อนฝูงและคนที่บ้านบ้างแต่ยังไม่ได้ลองขายเป็นกิจจะลักษณะ ฉันจึงลองสมัครขายของออนไลน์ยี่ห้ออื่นดูเพื่อหาประสบการณ์และแนวทางขายสินค้าของตัวเองบ้าง แต่ที่ไม่คาดคิดก็คือแค่สมัครเล่นๆกลายเป็นว่าขายได้จริงและขายได้ดีเสียด้วย

เพราะมัวแต่นอนฝันหวานทำให้ฉันตื่นสายจนใกล้เวลาสอบแล้ว จึงรีบวิ่งตาลีตาเหลือกคว้าจักรยานถีบไปที่ห้องสอบอย่างทุลักทุเล

“เป็นไง ยัยอุ่น แกทำได้มั่งไหมวะ ข้อสอบโคตรยากเลย” ยัยไหมเพื่อนสนิทของฉันเอ่ยประโยคแรกด้วยสีหน้ายับยู่เมื่อเดินออกมาเจอกันที่หน้าห้องสอบ

“พอได้ว่ะแก แต่โคตรยากของจริง อาจารย์สุดโหด” ฉันตอบด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่ไม่แพ้กัน

ขณะที่เดินปลงอนิจจังกันมาสองคนก็บังเอิญเจออาจารย์ที่ปรึกษาสุดน่ารักเข้าพอดี

“อ้าว...นภาสินี หัวข้อรายงานที่เธอส่งมาอาจารย์ให้ผ่านนะจ๊ะ เธอทำต่อได้เลย” อาจารย์ฝนเป็นคนน่ารัก ใจดี โชคดีที่ฉันได้เธอเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

“ขอบคุณมากค่ะอาจารย์ หนูจะรีบทำต่อเลยนะคะ” ฉันยกมือไหว้อย่างดีใจ

ใช่แล้ว ชื่อของฉันคือ’นภาสินี’ แต่เพื่อนชอบเรียกชื่อเล่นสั้นๆว่า’อุ่น’ ซึ่งไม่สอดคล้องกันเลย พ่อฉันเป็นคนตั้งชื่อเล่นเพราะอยากให้ลูกรู้สึกอบอุ่น ในขณะที่แม่เป็นคนตั้งชื่อจริงเพราะอยากให้ลูกเป็นนางฟ้า ก็เลยได้ชื่อที่ไม่ได้คล้องจ้องกันแบบนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า

“แกเสนอหัวข้ออะไรไปวะ ทำไมครั้งเดียวผ่านเลย ของชั้นเสนอไปตั้งสองครั้งแล้ว อาจารย์ยังเงียบอยู่เลย” ยัยไหมถามขึ้นด้วยความข้องใจ

“หัวข้อ ‘การผลิตและขายลิปสติกผ่านช่องทางออนไลน์’ ไงล่ะแก นี่ฉันอุตส่าห์ไปสมัครขายของออนไลน์จริงๆมาเพื่อเอาข้อมูลมาทำรายงานเลยนะ นี่ฉันขายจนได้รางวัลด้วยนะ” ฉันรีบคุยโม้ให้เพื่อนสนิทฟังด้วยความภูมิใจ

“โอ้โฮ! โคตรลงทุนอ่ะ แล้วแกได้รางวัลอะไรมา เพิ่งขายได้ไม่นานไม่ใช่เหรอ” ยัยไหมยกนิ้วโป้งให้เป็นคำชม

“ได้ดินเนอร์ล่องเรือหรูในแม่น้ำมา เนี่ยเขานัดอาทิตย์หน้า เสียดายว่าเขาให้ไปได้แค่คนเดียว ไม่งั้นฉันจะชวนแกไปด้วย”

“เฮ้ย...ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเราสอบเสร็จค่อยนัดไปกินเลี้ยงกันอีกที” ยัยไหมโบกมือให้แล้วก็ขี่จักรยานคู่กันไปจนถึงหอพัก

ด้วยความที่พวกเราเป็นเด็กต่างจังหวัดกันเกือบทุกคน จึงต้องมาพักอยู่ในหอพักโดยรอบมหาวิทยาลัยเพื่อให้สะดวกในการเดินทาง ฉันพักอยู่หอเดียวกับยัยไหมแต่คนละห้อง เพราะพวกเราอยู่ปีสุดท้ายแล้วจึงต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ส่วนใหญ่จึงเลือกพักคนเดียว

“ปิดเทอมนี้แกจะกลับบ้านไหมวะ” ยัยไหมถามขึ้นขณะคล้องกุญแจจักรยานคู่ชีพ

“คงไม่อะ เดี๋ยวกลับทีเดียวตอนปีใหม่เลย” ด้วยความที่บ้านของฉันอยู่ไกล จึงต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่กรุงเทพฯก่อนแล้วจึงต่อไปที่จังหวัดบ้านเกิดอีกที กลับบ้านแต่ละทีจึงใช้เวลาค่อนข้างนาน ฉันจึงมักรวบยอดกลับเพียงปีละครั้ง ในขณะที่พ่อและแม่ซึ่งรับราชการทั้งคู่ก็ไม่สามารถลางานได้นานๆ จึงมักจะบินมาเยี่ยมฉันเพียงปีละครั้งเช่นกัน

ฉันมีชีวิตเหมือนเด็กสาวต่างจังหวัดทั่วไป ที่เรียนจนจบชั้นมัธยมฯในตัวเมืองจังหวัดบ้านเกิดแล้วก็ต้องขวนขวายหาทางเรียนต่อในมหาวิทยาลัยมีชื่อซึ่งอยู่ห่างไกล โดยฉันได้โควตามาเรียนที่มหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือด้วยสาขาวิชาที่แตกต่างจากเพื่อนๆและญาติพี่น้อง แต่เนื่องจากเป็นความชอบส่วนตัว พ่อกับแม่จึงไม่ขัดถึงแม้จะอยากให้ฉันเลือกเรียนคณะที่ออกไปรับราชการเหมือนอย่างพวกท่านก็ตาม

ฉันจึงมาหาเพื่อนใหม่ที่นี่ จนได้สนิทสนมกับยัยไหม เพื่อนคณะเดียวกันที่มาจากต่างภาคห่างไกลกันพอสมควร พวกเราใช้ชีวิตวัยเรียนด้วยกันอย่างสนุกสนาน เวลาเรียนก็จริงจังคร่ำเคร่ง เวลาเที่ยวก็เที่ยวเล่นกันอย่างเบิกบาน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือทั้งฉันและยัยไหมต่างไม่มีแฟนทั้งคู่ ความจริงก็มีผู้ชายมาจีบพวกเราตั้งแต่เข้ามาปีหนึ่งแล้ว แต่ไปๆมาๆก็คบกันได้ไม่นาน เลิกรากันไปจนสุดท้ายต่างคนต่างโสดจนถึงตอนนี้ ซึ่งคงไม่มี

โอกาสแล้ว ยัยไหมบอกว่า พวกเราค่อยไปหากันใหม่ตอนเริ่มทำงานก็แล้วกัน ซึ่งฉันก็เห็นด้วย

ฉันกลับมานั่งเปิดคอมพิวเตอร์เช็คยอดขายล่าสุดและโหลดบัตรเชิญเข้าร่วมงานดินเนอร์ที่ทางบริษัทฯเพิ่งส่งมาให้

หลังจากพลิกซ้ายพลิกขวาด้วยความดีใจ ฉันก็โทรไปอวดแม่ที่บ้าน เพราะตอนที่ฉันบอกแม่ว่าจะขายของออนไลน์ แม่ฉันคัดค้านหัวชนฝาด้วยความอคติว่าไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้

“ฮัลโหล แม่ อุ่นมีอะไรจะอวดล่ะ” ฉันทักทายด้วยน้ำเสียงดีใจที่ปิดไม่มิด

“แหม..เสียงดีใจขนาดนี้ ได้เกรดเอหรือยังไง” แม่สวนกลับมาทันที เพราะเกรดการเรียนของฉันอยู่ในระดับดี ได้เกรดเออยู่บ้างถึงจะไม่มากแต่ก็ยังพอมีให้เห็น

“แม่ก็...แค่ได้เอ อุ่นไม่ดีใจขนาดนี้หรอก” ฉันตอบอย่างงอนๆ

“แหม...ลูกคนนี้พูดมาได้แค่ได้เอ แล้วดีใจเรื่องอะไรล่ะ” แม่ฉันประชดใส่

“อุ่นทำยอดขายของออนไลน์ได้ตามเป้าได้รางวัลเป็นดินเนอร์ล่องเรือหรูด้วยล่ะ อุ่นเก่งไหม” ฉันอวดใหญ่

“ก็แค่กินข้าวรึเปล่า เรียกเสียใหญ่โต แหม...ดินเนอร์หรู” แม่ฉันพูดเสียกระจอกไปเลย

“แม่อะ” ฉันเริ่มงอน ก็แม่ไม่เห็นด้วยตั้งแต่เริ่มขาย จนตอนนี้ฉันพิสูจน์ตัวเองว่าขายได้ ก็ยังจะไม่ชอบใจอีก

“เอาเถอะๆ ขายได้ก็ดีแล้วจะได้ไม่ขายขี้หน้าเขา แล้วจะไปกินข้าวหรูนี่เมื่อไหร่ล่ะ” แม่ถามอย่างเสียไม่ได้

“อาทิตย์หน้า เดี๋ยวอุ่นจะถ่ายรูปส่งไปอวดนะ” ฉันไม่สนใจเพราะยังดีใจอยู่

“ตามใจ แล้วปีใหม่ถึงจะกลับบ้านใช่ไหม”แม่ถามอีก

“ใช่จ้ะ อุ่นจองตั๋วได้วันไหนแล้วจะส่งไลน์ไปบอกนะจ๊ะ รักแม่นะ” ฉันวางสายไปด้วยความชินชา

แม่ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ ฝังหัวว่าการขายของไม่ดี ยิ่งขายของออนไลน์นี่ยิ่งไม่ชอบใจเลย เพราะครอบครัวของแม่รับราชการมาโดยตลอดทุกคน มีแค่ฉันนี่แหละที่แหวกแนวออกมาคนเดียว ยังดีที่มีน้องชายคนเล็กอยู่ที่บ้านอีกคนให้แม่ปั้นแต่งให้ได้ดั่งใจหวัง

ฉันอ่านหนังสือสอบวิชาสุดท้ายด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนักเพราะมัวแต่ดีใจกับยอดขายและมัวแต่คิดฝันว่าจะขายของตัวเองได้อย่างไร จนสอบเสร็จด้วยความโล่งอก จึงรีบปั่นจักรยานกลับหอพักด้วยความเริงร่า เพราะเย็นนี้จะได้เข้าร่วมดินเนอร์หรูตามที่ได้รางวัลมาแล้ว

“แกจะไปยังไงล่ะ” ยัยไหมเพื่อนสาวคนดี เอ่ยถามเมื่อเรามาจอดจักรยานคู่กันหน้าหอพัก

“เดี๋ยวฉันเรียกแท็กซี่หน้ามหาลัยนี่แหละ ส่วนขากลับเดี๋ยวกด

แอปเรียกเอาก็ได้” ฉันบอกเพื่อนเพื่อไม่ให้เป็นห่วง เพราะคงกลับดึกพอสมควร

“อะเค กลับถึงแล้วไลน์บอกด้วยนะ” เพื่อนสาวบอกก่อนจะเดินแยกย้ายกันไป

ฉันแต่งตัวด้วยความพิถีพิถันกว่าปกติเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เข้าร่วมงานหรูของบริษัทฯ อาจจะมีโอกาสได้เจอใครต่อใครมากมาย จนเมื่อมาถึงที่งานและลงเรือหรูเรียบร้อยแล้ว พิธีกรก็กล่าวเปิดงานและการแสดงที่จัดเตรียมมาก็ออกโชว์อย่างอลังการ ฉันตื่นตาตื่นใจและเก็บเกี่ยวรายละเอียดต่างๆเอาไว้เพื่อทำรายงานและใช้ในการขายของตัวเองด้วยในอนาคต

ระหว่างที่ยืนกินลมชมวิวอยู่ที่ดาดฟ้าเรืออย่างมีความสุขนั่นเอง จู่ๆเรือก็เอียงวูบจนฉันต้องเกาะขอบระเบียงเอาไว้แน่น พลางมองหาว่าเกิดอะไรขึ้น คนด้านล่างวิ่งไปมาจนชุลมุน ไม่มีใครประกาศอะไรรู้เพียงว่าเรือเริ่มเอียงมากขึ้นและมากขึ้น ฉันเกาะขอบระเบียงแน่นขึ้นอีกขณะมองหาทางเอาตัวรอด

ทำยังไงดีล่ะ เรืออยู่กลางแม่น้ำเสียด้วย ชูชีพก็ไม่มี ชุดก็เป็นกระโปรงยาวรุ่มร่าม

ฉันก้มลงไปถอดรองเท้าส้นสูงออกมาถือก่อนเป็นอย่างแรกก่อนจะมองหาทางว่าคนเขาหนีไปทางไหนกัน

โน่นคนส่วนใหญ่วิ่งไปกองรวมกันอยู่ทางหัวเรือจนเรือเอียงวูบไปทางนั้น สักพักคนก็เฮกันไปทางท้ายเรือจนเรือเอียงวูบไปมา ฉันได้แต่เกาะขอบระเบียงมองดูด้วยยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหนดี

จนกระทั่ง เรือเอียงคว่ำลงสู่แม่น้ำอย่างกะทันหันด้วยคงมีน้ำเข้าใต้ท้องเรือจนเต็มและรับน้ำหนักไม่ไหว ฝูงคนเฮทะลักโดนเทลงสู่แม่น้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว มีบางส่วนที่กระโดดลงไปก่อนเพื่อหนีการล้มทับของตัวเรือ และบางส่วนที่คว้าชูชีพได้ก็ลงไปลอยคอกันเต็มแม่น้ำแล้ว

ส่วนฉันเพราะมัวแต่ลังเลใจจึงโดนเทลงสู่แม่น้ำอย่างไม่ได้ตั้งตัวเช่นกัน ฉันตะเกียกตะกายโผล่ขึ้นไปหายใจและหาทางว่ายเข้าฝั่งอย่างทุลักทุเล บ้านเกิดของฉันเป็นเมืองชายทะเล ฉันจึงฝึกว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็ก เมื่อมองระยะทางแล้วไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ฉันจึงตัดสินใจว่ายสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด

แต่...ตะคริวกินขา ทำอย่างไรดี

โอ๊ย...เพราะน้ำที่เย็นเกินไปทำให้จู่ๆก็เกิดตะคริวขึ้นที่ขาทั้งสองข้างจนไม่สามารถขยับได้

ฉันได้แต่ใช้มือตะเกียกตะกาย พยายามหาวัตถุจับเกาะแต่ไม่มีเลย ทุกคนรอบข้างต่างตะเกียกตะกายจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากน้ำฟุ้งกระจาย ฉันพยายามตั้งสติตะกุยมือเบาๆใต้น้ำเพื่อพยุงตัว

แต่แล้ว....

ฉันก็ค่อยๆจมลงด้วยสติที่เลื่อนลอย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel