จากคุณหนูสู่สาวใช้
“เพียงแต่เจ้าต้องประทับตรายินยอมให้ข้ากับสามีเป็นผู้ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับจวนเสียก่อน พวกเราถึงจะสามารถดูแลพวกเจ้าสองพี่น้องได้อย่างถูกต้อง จะได้ไม่มีผู้ใดนินทาลับหลัง”
ฟู่ฟางซินพยักหน้ารับทันที ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจไม่ประสีประสาเล่ห์เหลี่ยมคน ทำให้นางยินยอมทำตามอย่างว่าง่าย โดยไม่คิดสงสัยสักนิดว่าสตรีตรงหน้าจริงใจหรือไม่ จนกระทั่งประทับตราลงนามมอบอำนาจให้สองสามีภรรยาคู่นี้เสร็จสิ้น ชีวิตของนางก็ได้แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือนับแต่นั้นเป็นต้นมา
“มัวยืนเหม่ออันใดอยู่เล่า เอาผ้าของคุณหนูอวี้โหรวไปซักเสีย” แม่นมหม่าบอกนางด้วยท่าทีรังเกียจอย่างออกนอกหน้า พลางโยนตระกร้าผ้าจนชุดที่อยู่ด้านในต่างกระเด็นออกมา
“เจ้าค่ะ” นางทำได้เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น
จากคุณหนูสูงศักดิ์กลายเป็นเพียงสาวใช้ในจวนในชั่วพริบตาเดียว แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปีแล้วก็ตามที แต่ความทรงจำเกี่ยวกับท่านพ่อท่านแม่และน้องชายไม่เคยจางหายไปไหน นางโอบอุ้มความรู้สึกล้ำค่าไว้แนบอก ยามต้องเผชิญกับความอ้างว้างเพียงลำพัง เพราะบัดนี้ข้างกายนางไม่มีพวกเขาเหล่านั้นอยู่ข้างกายแล้วแม้แต่คนเดียว
สามคนพ่อแม่ลูกที่แย่งชิงทรัพย์สินของผู้อื่นมาอย่างหน้าไม่อายเมื่อสามปีก่อน พวกเขาต่างใช้จ่ายมือเติบงานการไม่ทำ จนทรัพย์สินเริ่มร่อยหรอลงเรื่อย ๆ
“ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าท่านอ๋องจะเข้าร่วมงานเลี้ยงจวนสกุลหลิวด้วย ข้าขอตามท่านไปด้วยนะเจ้าคะ” เสิ่นอวี้โหรวบอกมารดา
“เจ้าจะตามไปก็ย่อมได้ ว่าแต่ท่านพี่ ท่านไม่คิดจะเข้ารับตำแหน่งขุนนางบ้างหรือเจ้าคะ” ท้ายประโยคนางหันไปถามสามี
“อีกไม่นานตำแหน่งผู้ช่วยเจ้ากรมยุติธรรมจะว่างลง ข้าได้ติดสินบนกับใต้เท้าเซี่ยเพื่อให้เขาใส่ชื่อข้าในตำแหน่งนั้น”
“จริงหรือเจ้าคะ นับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียว”
“ท่านพ่อเหตุใดท่านถึงพอใจเพียงแค่ตำแหน่งขุนนางเล็ก ๆ เช่นนี้” นางขัดขึ้นทันที เมื่อได้ยินคำพูดของบิดาและมารดา หากเทียบกับบุตรีขุนนางอื่น หญิงสาวยังคิดว่าตัวเองต่ำต้อยยิ่งนักที่บิดาเป็นเพียงขุนนางต่ำศักดิ์ ไม่ได้มีความสำคัญต่อราชสำนักแล้วนางจะกล้าบากหน้าไปพูดคุยกับผู้ใดได้เล่า
“ข้าน่ะหรือพอใจ ก็แค่รอเวลาเท่านั้น”
ฟางซินถูกเรียกตัวมาที่เรือนญาติผู้น้องอย่างเสิ่นอวี้โหรวเป็นการด่วน นางไม่รู้สาเหตุเสียด้วยซ้ำว่าถูกเรียกตัวมาเพราะเรื่องใด
“ฟู่ฟางซิน เจ้าช่างบังอาจนัก!” นางตะคอกเสียงดังทันทีที่หญิงสาวโผล่หน้าเข้ามาในเรือน พร้อมกับโยนอาภรณ์ของตนลงพื้น
“กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” ฟางซินเอ่ยขึ้น ขณะตรวจดูอาภรณ์ก็พบว่ามีรอยขาดหวิ่นเป็นหย่อม ๆ
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้กล้าทำลายชุดของข้า หมิ่นเยว่ จับตัวนางไว้แล้วให้คนนำแส้มา ข้าจะลงโทษนางด้วยมือของข้าเอง” สิ้นคำ นางก็ถูกจับตัวไว้พร้อมกับถูกมัดมือไว้กับเสา ทำให้ไม่สามารถขยับกายได้
“เพี๊ยะ!” เสียงแส้ฟาดลงที่หลังของนางมากกว่าสิบครั้ง แต่ไร้เสียงร้องโอดครวญ เหตุเพราะนางถูกบังคับให้กัดผ้าไว้ทำให้เสียงไม่อาจเล็ดลอดออกมาได้
“ปล่อยนาง”
“เจ้าค่ะ”
“จำไว้ถ้ายังไม่อยากตายอย่าได้คิดเหิมเกริมกับข้าอีก เจ้าเป็นเพียงทาสรับใช้ของข้าเท่านั้น”
เมื่อได้ระบายอารมณ์โกรธจนพอใจแล้วนางก็ได้เดินจากไปทันที ทิ้งให้ฟางซินอยู่กับหมิ่นเยว่เพียงสองคน
“แค่โดนฟาดไปไม่กี่ทีอย่าสำออยไปหน่อยเลย”
“เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่”
“ใช่! เป็นฝีมือข้าเอง”
“เจ้าทำเช่นนี้ทำไมกัน ระหว่างข้ากับเจ้าไม่ได้มีความแค้นต่อกัน”
“ข้าย่อมมีความแค้นต่อเจ้าอยู่แล้ว เจ้าดูสภาพเจ้าตอนนี้กับเมื่อสามปีก่อนสิ ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก”
นางเอ่ยพร้อมกับเหยียดตามองอดีตคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ที่บัดนี้มีสภาพซอมซ่อไม่ต่างจากสุนัขข้างถนนด้วยความสะใจเสียยิ่งกว่าอะไร หมิ่นเยว่ริษยานางมาตั้งแต่เด็กที่เห็นนางเพียบพร้อมทุกอย่าง ต่างจากนางที่นอกจากจะเกิดมาต่ำต้อยแล้ว แม้แต่บิดากับมารดาก็ยังไม่มีเหมือนผู้อื่น
