บทที่3 ภรรยาแม่ทัพ
ฉีอิงถือโอกาสสำรวจบ้านหลังใหม่ของเธอ สองนายบ่าวเดินเล่นไปทั่วสวนอันกว้างใหญ่ จนไปหยุดอยู่ประตูทางเข้าลานฝึก ฉีอิงจำได้ว่าเมื่อชีวิตเก่า เธอเคยถูกรับเชิญไปร่วมแสดง ในหนังแนวย้อนยุค เธออยากจะรู้ว่าของจริง กับฉากในหนังนั้น มันจะเหมือนกันรึเปล่า
เท้าบางกำลังจะก้าวตรงไปยังประตู เพื่อที่จะเข้าไปด้านใน ทว่าแขนกลมกลึงกลับถูกรั้งเอาไว้ ฉีอิงมองตามมือไป จนสบเข้ากับตาเสี่ยวเจี้ยน ก่อนจะเห็นใบหน้าซีดเซียวของสาวใช้ พร้อมกับอาการส่ายหน้าน้อย ๆ ของเสี่ยวเจี้ยน
“ทำไม ข้าจำได้ว่าไม่มีกฎห้ามเข้า หรือช่วงที่ข้าเจ็บป่วยมีการตั้งมันขึ้นมาใหม่” ฉีอิงถามด้วยความสงสัย ทว่าน้ำเสียงนั้นเหมือนกำลังพยายามกดดัน ให้เสี่ยวเจี้ยนยอมจำนน
“มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่ฮูหยินเคยบอกว่า...ไม่ชอบลานฝึกนี่เจ้าค่ะ” เสี่ยวเจี้ยนตอบด้วยน้ำเสียงติดขัด ยิ่งเป็นการเพิ่มความอยากรู้ให้แก่ฉีอิง
“ใช่! ข้ามิชอบ แต่วันนี้ ข้าแค่อยากออกกำลังสักหน่อย ไปกันเถอะ”
แม้ว่าฉีอิงจะเห็นภาพเกี่ยวกับเจ้าของร่าง แต่ก็ใช่ว่าจะทั้งหมดเสียเมื่อไหร่กัน เธอไม่รู้ว่าทำไมเสี่ยวเจี้ยน จึงดูหวาดกลัวลานฝึกขนาดนั้น แต่ก็นะสามีของเธอในตอนนี้คือแม่ทัพ เขามักจะทำให้ผู้คนหวาดกลัวอยู่เป็นประจำ ก็ไม่แปลกอันใด หากเสี่ยวเจี้ยนที่เป็นคนของภรรยา ซึ่งเจ้าของบ้านไม่ได้รัก จะเกรงกลัวชายผู้นั้น
ฉีอิงก้าวเข้าไปอย่างใจเย็น พร้อมคิดหาหนทาง ว่าต่อไปนี้เพื่อไม่ให้เผลอแสดงความเป็นตัวเองออกมา แม้แต่ความคิดก็ต้องเปลี่ยน ไม่เช่นนั้น สักวันอาจเผลอหลุดออกมาแน่นอน และมันย่อมจะตามมาด้วยปัญหาอีกมากมาย
หญิงสาวหยุดมองลานฝึกอันกว้างขวาง ‘อืมคนสมัยก่อนต้องรวยขนาดไหนกัน จึงสามารถมีบ้านหลังใหญ่ ที่ดินกว้างขวางได้ขนาดนี้’ เสียงพูดคุยกันเบา ๆ ดังขึ้นยังส่วนที่อยู่หลังต้นไม้ ฉีอิงจดจำเสียงนั้นได้ดี แม้ว่าจะเคยได้ยินเพียงครั้งเดียว
‘เสียงผู้หญิงอย่างนั้นรึ อ่าฉันคิดแบบเธอได้แล้วหลี่ฉีอิง ต่อไปฉันจะคิดแบบคนในโลกนี้’ ฉีอิงหันไปพยักหน้าให้แก่สาวใช้ ที่ตอนนี้ใบหน้าแทบไร้สีเลือด นางไม่เข้าใจเลยว่าเสี่ยวเจี้ยนกลัวอะไร
ตึก! ตึก! เสียงฝีเท้าของใครบางคน ทำให้จ้านซือถงชะงักค้าง ก่อนจะยืนนิ่งมองไปยังทิศทางของเสียง โดยมีหญิงสาวที่กำลังสนทนาอยู่กับชายหนุ่ม มองตามไปเช่นเดียวกัน
ฉีอิงก้าวเข้าไปหยุดยืนมองชายหญิง ที่กำลังจ้องมาที่นางด้วยแววตาอันหลากหลาย หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างอย่างเข้าใจ ในแบบของคนจากยุคที่เรียกว่าอนาคต นางไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของสามี และหญิงสาวข้างกายเขา แต่ใจที่กระตุกวูบเมื่อครู่ บอกได้เป็นอย่างดี ว่าเจ้าของร่างต้องรู้สิ่งใดมาอย่างแน่นอน
“ฉีอิง เจ้าหายดีแล้วรึ”
หญิงสาวหน้าตางดงาม เอ่ยถามภรรยาเจ้าของจวน ก่อนจะลอบสบตากับชายหนุ่ม
โอ๊ะ! ฉีอิงรู้สึกปวดหัวอย่างแรง ก่อนจะหลับตาลงครู่หนึ่ง ภาพบางอย่างก็ฉายเข้ามาในหัว ‘อ่า! พี่สะใภ้กับน้องสามีสินะ’
“เจ้าค่ะ ฉีอิงรู้สึกอุดอู้เลยออกมาเดินรับลม เพื่อให้สดชื่นขึ้นบ้างเจ้าค่ะ พี่สะใภ้”
คำเรียกขานของฉีอิง ทำให้หลิวหลิงหน้าม่านไปชั่วขณะ เป็นที่รู้กันดีว่านางคือภรรยาพี่ชายของแม่ทัพหนุ่ม ที่รั้งตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก
“หายก็ดีแล้ว ซือถงจะได้มีคนดูแล” หลิวหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หากทว่าคนฟัง มิได้คิดเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าค่ะ อันที่จริงท่านพี่ก็โตแล้ว ทั้งยังเป็นถึงแม่ทัพ ย่อมสามารถดูแลตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องมีคนคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำกระมังเจ้าคะ”
หลิวหลิง ทำได้เพียงยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อมองดูบนโต๊ะน้ำชา ซึ่งในตอนนี้ มีอาหารหลายอย่างวางอยู่ ฉีอิงเดาได้ไม่อยาก ว่าอาการเจ็บป่วยของนาง คือข้ออ้างให้พี่สะใภ้ คอยมาเยี่ยมเยียนดูแล แต่มิใช่นาง ทว่าเป็นสามีของนางต่างหากเล่า ที่พี่สะใภ้คนงามมาดูแล
“ฉีอิง ไยจึงออกมาเดินเล่นไกลถึงที่นี่ เจ้าควรพักผ่อนให้มาก หากเกิดล้มเจ็บมาอีก ผู้คนจะมองข้าเช่นไร คิดให้มากสักหน่อยก็ดี”
ในที่สุดแม่ทัพหนุ่มก็หาคำพูดของตนเองเจอ ด้วยคราแรกนั้น เขายังรู้สึกตกใจ ที่อยู่ ๆ ภรรยาก็เข้ามายังลานฝึก ซึ่งเขาจำได้ดีว่าเมื่อเช้าได้เดินไปดูนางยังเรือน ฉีอิงยังไร้ซึ่งสติอยู่เลย
‘แพศยา! แสร้งเจ็บป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจ’ หลิวหลิงได้แต่คิดอยู่ภายในใจ ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกมา นอกจากยิ้มละมุนส่งให้แก่ภรรยาของแม่ทัพหนุ่ม
“ท่านพี่โปรดวางใจ หากข้าเจ็บป่วยลงอีกครั้งนี้ รับรองจะไม่มีคนนอกรับรู้มันอีกเป็นอันขาด ท่านพี่จะได้มิต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ว่าภรรยาเช่นข้า...บกพร่องต่อหน้าที่ จนทำให้สามีลำบากไร้คนดูแล”
ฉีอิงเว้นคำเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียง เอื่อยเฉื่อยต่อท้าย พร้อมส่งสายตาอย่างมีจริตให้แก่สามี ที่เวลานี้ยืนทำหน้านิ่ง เหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาวอยู่ข้างพี่สะใภ้คนงามของเขา
“ก็ดี...ที่เจ้าคิดได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำ”
ชายหนุ่มเอ่ยได้ไม่เต็มคำนัก ด้วยยังตั้งรับกับการยอกย้อนของภรรยามิทัน ซึ่งปกติแล้วฉีอิงจะไม่มีทางพูดเช่นนี้กับเขาหรือผู้ใด
“เจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าสิ่งใดควรและมิควรกระทำ ข้าขอตัวนะเจ้าคะ”
ฉีอิงไม่รั้งรอคำตอบจากสามี หญิงสาวหมุนกายจากมา ด้วยท่วงท่าประหนึ่งนางพญา เห็นทีนางต้องทำให้เจ้าของร่างสมหวังเสียแล้ว
นี่คือชีวิตจริงมิใช่ในละครหรือนิยาย ที่นางเอกเก่งกาจหย่าสามีแล้วสร้างตัวจนร่ำรวย ทว่านี่คือเรื่องจริง และเป็นยุคแห่งการแย่งชิง ผู้ใดมีอำนาจย่อมกำชัยไว้ในมือ มิว่าบุรุษหรือสตรี
อำนาจในมือของสตรีคือการครองเรือน โดยไม่ทำให้มันลุกเป็นไฟ ส่วนบุรุษนั้น อำนาจคือเงินตราและชื่อเสียง
ฉีอิงเดินไปเรื่อยเปื่อย โดยสมองน้อย ๆ ของนาง กำลังคิดหาวิธีสร้างทางรอดให้แก่ตนเอง ทุกอย่างต้องมีแผนสำรองเสมอ หากวันใดสิ้นคำว่าสามีภรรยาขึ้นมา นางต้องไม่ลำบากจนเกินไป หรือถ้ายังต้องอยู่กับตำแหน่งนี้ต่อไป นางก็ต้องมั่นใจว่าจะไม่มีผู้หญิงอื่น มาสอดแทรกทำลายมันลงเช่นกัน
“ฮูหยินเจ้าคะ” เสี่ยวเจี้ยนเรียกผู้เป็นนาย เมื่อเห็นว่าเวลานี้ ใกล้จะมืดแล้ว ทว่าผู้นายไม่มีท่าทีจะกลับเรือน นางจึงได้เอ่ยท้วงขึ้น
“หือ! มีอะไรรึเสี่ยวเจี้ยน”
ฉีอิงตื่นจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงสาวใช้เรียกจากทางด้านหลัง หญิงสาวจำต้องหยุดความคิดทั้งหมดลง
“พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้วนะเจ้าคะ บ่าวคิดว่าฮูหยินอาจจะอยากกลับไปพักผ่อนเจ้าคะ” เสี่ยวเจี้ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย ทว่าก็เกรงผู้เป็นนาย จะคิดว่านางวุ่นวายจนเกินไปด้วยเช่นกัน
“อืม...ไปสิ ข้าก็รู้สึกเมื่อยขาแล้ว”
สองนายบ่าวกับสู่เรือน โดยแสร้งเป็นมองไม่เห็นแม่ทัพหนุ่ม ที่กำลังเดินไปส่งแขกของบ้าน ฉีอิงหาได้ใส่ใจสามีของนางไม่ ด้วยเวลานี้สมองของนาง มีเพียงเรื่องการเอาชีวิตรอด ในบ้านเมืองที่ร้อนประหนึ่งไฟนรก ภายนอกงดงาม แต่นี่คือยุคแห่งการฆ่าฟัน นางที่มาจากยุคที่ล้ำหน้า ย่อมต้องคิดให้มากสักหน่อย
