บทที่ 10 ผูกมิตร
บทที่ 10 ผูกมิตร
จินเยว่เดินทางมาถึงหน้าบ้านท่านหมอเกาแต่เขาไม่อยู่มีเพียงภรรยาของเขาเท่านั้นที่ออกมาต้อนรับ
“ว่าไงแม่หนูมีธุระอะไรหรือ” เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กสาวหน้าตาน่าเอ็นดูภรรยาของหมอเกาก็เอ่ยทักทายจินเยว่อย่างเป็นมิตร
“ข้าชื่อกู้จินเยว่เจ้าค่ะ ข้านำผลไม้มาให้ ตอบแทนที่คราวก่อนท่านหมอเกาช่วยรักษาข้า” ร่างเล็กพูดพร้อมยื่นแตงโมให้
“นี่มันคือผลไม้อะไรกันป้าไม่เคยเห็นมาก่อน” ภรรยาหมอเการับแตงโมมาและเอ่ยถาม
“มันเรียกว่าแตงโมเจ้าค่ะ เนื้อสัมผัสของมันจะชุ่มฉ่ำและหวานมาก ท่านต้องผ่าแล้วลองกินเนื้อสีแดงๆข้างในอย่าลืมคายเมล็ดมันทิ้งด้วยนะเจ้าคะ” จินเยว่บอกพร้อมรอยยิ้มสดใส
“ขอบใจนะแม่หนู ไว้ข้าจะบอกท่านหมอให้” หญิงชราส่งยิ้มเอ็นดูบนใบหน้าปรากฏรอยเหี่ยวย่นน้อยๆ
หลังจากนั้นจินเยว่ก็เดินไปที่บ้านอีกหลังที่ตั้งไม่ห่างกันมาก บ้านหลังนี้มีขนาดค่อนข้างเล็กแต่ไม่ได้เก่าทรุดโทรมแต่อย่างใด มันเป็นบ้านของอาสี่ของจินเยว่ อาสี่ของนางมีนามว่ากู้ป๋อเหวิน เขาแต่งงานกับภรรยามาได้เกือบปีแล้ว ท่านอาเล็กเป็นคนที่ใจดีที่สุดในบรรดาเหล่าพี่น้องของท่านพ่อของนาง ภรรยาของเขาก็เป็น
คนใจดีเช่นกัน
พ่อของจินเยว่มีพี่น้องทั้งหมดสี่คนรวมตัวเขาด้วย กู้ซีห่าวเป็นลูกคนที่สอง เขามีน้องสาวหนึ่งคนนางแต่งงานออกไปอยู่บ้านสามีแต่ก็มักจะกลับมาเยี่ยมเยียนครอบครัวบ่อยครั้ง และน้องชายคนสุดท้องก็คือกู้ป๋อเหวิน
อาสี่มักจะไม่ค่อยถูกกับพี่น้องคนอื่นๆยกเว้นกู้ซีห่าว พวกเขามักจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเสมอ เมื่อเขาและภรรยาแต่งกันจึงแยกบ้านออกมาทันทีพวกเขาไม่ค่อยกลับไปเยี่ยมที่บ้านเดิมเท่าไหร่นักหากไม่มีเรื่องจำเป็น
“ท่านอาป๋อเหวินอยู่ไหมเจ้าคะ” นางตะโกนเรียกคนในบ้าน เป็นภรรยาของป๋อเหวินที่เปิดประตูมา
“อาเจ้ายังไม่กลับจากงานเลย เจ้ามีธุระอะไรหรือ”
กู้ป๋อเหวินมีอาชีพเป็นผู้ทำบัญชีให้ภัตตาคารแห่งหนึ่งในตลาด รายได้ของเขาอาจจะไม่มากมายนักแต่สุขสบายกว่าการทำไร่นาแน่นอน ในบรรดาพี่น้องสี่คน
มีแค่พี่ชายคนโตและน้องชายคนเล็กอย่างป๋อเหวินเท่านั้นที่ได้เรียนหนังสือ แต่
กู้จางหย่งหัวไม่ค่อยดีจึงลาออกกลางคันมีแค่กู้ป๋อเหวินที่ได้เรียนจนอ่านออกเขียนได้
จินเยว่และภรรยาของกู้ป๋อเหวินมีอายุไม่ห่างกันมากเนื่องจากป๋อเหวินเป็นลูกคนเล็กที่อายุห่างจากพี่ๆของเขาเป็นสิบปี เขาจึงมีอายุมากกว่าจินเยว่แค่สามปีเท่านั้น
“ข้านำแตงโมมาฝากเจ้าค่ะ” จินเยว่ส่งยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้า
“เจ้าไปเอามาจากไหน ข้าเคยได้ยินชื่อมันแต่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” เจียลี่ขมวดคิ้ว
พ่อของนางเป็นเคยพ่อค้ามาก่อนเขามักเล่าเรื่องราวของเมืองต่างๆให้
นางฟัง แตงโมนี้เขาก็เคยเล่าว่ามันขึ้นแค่ในเมืองที่ห่างไกลด้วยสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่
“ข้าเก็บได้จากปากทางเข้าป่าเจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ น่าแปลกจังข้าไม่เคยเห็นมันในเมืองนี้มาก่อน” ถึงจะสงสัยแต่ก็เอื้อมมือมารับไว้
“เจ้ารอตรงนี้ก่อนนะ ข้าฝากของไปให้แม่เจ้าหน่อย” นางเรียกจินเยว่ไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะกลับ
หญิงสาวเดินหายเข้าไปในบ้านสักครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมไข่ในมือสี่ฟอง เจียลี่ยื่นไข่ในมือให้จินเยว่รับไว้
เจียลี่กำชับกับจินเยว่ว่า “เจ้าซ่อนมันให้ดีเล่า ข้ารู้ว่าพวกนั้นให้พวกเจ้ากินแต่ผักใช่หรือไม่ มันอาจจะไม่มากมายแต่เจ้าเก็บไว้เถอะ”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะท่านอาสะใภ้” จินเยว่ขอบคุณพร้อมค้อมหัวให้หลายครั้ง
ถึงนางจะมีมิติวิเศษก็จริงแต่นางไม่มีอะไรจะใส่เข้าไป อยู่บ้านกับข้าวที่ได้รับส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกผักนานๆจะมีไข่สักมื้อ ไม่ต้องพูดถึงเนื้อสัตว์ตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้นางไม่ได้กินเนื้อสัตว์สักครั้ง มื้อที่มีไข่ถือเป็นมื้อที่พิเศษอย่างยิ่ง สกุลกู้ไม่ใช่สกุลที่ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ยากจนขัดสนดั่งคนอื่นๆ แต่กู้ฮุ่ยชิวที่มีอำนาจรองจากกู้ซีฮันมีใจลำเอียงไปทางลูกชายคนโต มีอะไรก็ให้เขาก่อนลูกคนอื่นๆด้วยหวังพึ่งลูกชายคนโตยามแก่ชรา
“ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าต้องไปช่วยท่านแม่ทำงานต่อ” นางเดินออกมาพอพ้นสายตาก็รีบเอาไข่เข้าไปเก็บในมิติทันที
ณ บ้านสกุลกู้
ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นแล้วจินเยว่และพี่ชายช่วยกันยกอาหารจากในครัวที่แม่พวกเขาพึ่งทำเสร็จมาวางบนโต๊ะ ส่วนของบ้านจินเยว่จะแยกไปกินอีกโต๊ะหนึ่งข้างๆกัน
จินเยว่มองไปรอบห้องเพื่อสำรวจกู้ซีฮันและและกู้ฮุ่ยชิวนั่งที่โต๊ะตัวใหญ่ ใกล้กันมีครอบครัวของลุงใหญ่แต่ไม่พบกู้จางลี่
“จางลี่ไปไหนเสียล่ะซูฮวา” หญิงชราเอ่ยถามสะใภ้ใหญ่
“นางไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าเลยให้นางพักอยู่ที่ห้อง” ซูฮวาตอบพลางส่งสายตาโกรธเคืองมาทางจินเยว่ แต่นางก็หาได้สนใจไม่ทำลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่ใช่เรื่องของตนเอง
หญิงชราไม่ได้กล่าวอะไรต่อแค่พยักหน้าสองสามทีและหันมาส่งสายตาเย็นให้หลานสาว
“กินข้าวกันได้แล้ว กับข้าวเย็นหมดแล้ว” ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
“ถ้ากินข้าวเสร็จแล้วเจ้าเข้าไปหยิบพู่กันให้ปู่หน่อยนะจินเยว่ ข้าจะเขียนจดหมายซะหน่อย” ชายชราหันไปสั่งจินเยว่ที่กำลังใช้ตะเกียบคีบผักขึ้นมา
จินเยว่วางตะเกียบลง หันไปทางอีกโต๊ะ “ได้เจ้าค่ะท่านปู่” ตกปากรับคำแล้วก็หันมากินข้าวต่อ
ร่างเล็กรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป แค่โดนน้ำราดซูฮวาจะถึงกับจับไข้เลยหรือ บางทีอาจจะมีอะไรมากกว่านั้น แต่ถึงคิดมากไปตอนนี้นางก็ทำอะไรไม่ได้
ขณะนี้เป็นเวลายามซวี(19:00น.- 20:59น.)แล้ว หลังจากทานข้าวเสร็จ
หนิงเทียนและจินเยว่ก็ไปช่วยกันล้างจานชามก่อนจะกลับไปนอนที่บ้านตัวเอง จินเยว่กำลังใช้หวีสางผมก่อนนอนอยู่หน้ากระจกในหัวก็คิดไปเรื่อยเปื่อย
ปัง!
เสียงดังออกมาจากห้องของกู้ซีฮันและภรรยา ตามมาด้วยเสียงเดินกระแทกเท้าดังๆมาทางห้องของจินเยว่ ภายในใจของจินเยว่สั่นระรัวเหมือนมันกำลังเตือนนางว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น
