บทที่ 2
“มีคนสนใจตึกนั่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามเป็นภาษาไทยอย่างฉะฉานผ่านโทรศัพท์ นั่นเพราะเขาพึ่งให้ทนายส่วนตัวซึ่งเป็นคนไทยและยังเป็นญาติห่างๆ ติดประกาศขายตึกเก่าๆ ของมารดาไปไม่กี่ชั่วโมงก่อน แต่กลับมีคนสนใจที่จะซื้อเร็วเกินคาด
“ใช่ครับ คุณเซดริกสะดวกให้ผมนัดเธอมาคุยรายละเอียดตอนที่มาเมืองไทยเลยไหม”
“ได้สิ นัดวันมาได้เลย” เซดริก ไคลน์ เอ่ยรับ เขาคือเจ้าของตึกยุโปรหลังนั้น แต่เพราะตัวตึกทรุดโทรมและล้าสมัยในสายตาเขา เขาเลยไม่อยากเก็บอาคารเก่าๆ ไว้อีก จึงประกาศขายเพื่อนำเงินไปสร้างรีสอร์ตสวยๆ ติดชายหาดแทน
“ครับ” นิคมเอ่ยรับ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นญาติกัน แต่เขากับครอบครัวเซดริกก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมากมายนัก ก่อนจะหวนนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มลูกครึ่งไทย – อิตาลี ที่ตนกำลังคุยสายอยู่ด้วย แถมยังมีดีกรีเป็นถึงนายแบบชื่อดัง เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของจันทร์ฉาย ญาติห่างๆ ฝั่งมารดาของเขา
เมื่อไม่มีธุระอะไรอื่นต้องคุยต่อ ทั้งคู่จึงวางสายจากกัน เซดริคที่ตอนนี้อยู่ญี่ปุ่น กำลังนอนแช่ออนเซ็นอย่างสบายอกสบายใจ อาชีพนายแบบอย่างเขา แม้จะต้องเดินทางไปที่นั่นที่นี่บ่อยๆ เพื่อทำงาน แต่มันก็คุ้มที่จะเดินทาง เพราะแต่ละสถานที่นั้นพิเศษเฉพาะตัวจริงๆ
วิวตรงหน้าเซดริคตอนนี้คือภูเขาไฟฟูจิ ที่มองยังไงก็ไม่เคยเบื่อ เขาหลับตาผ่อนคลาย ปล่อยให้สมองคิดเรื่องนั้น เรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะที่ปากหยักจะผุดรอยยิ้มขึ้นมาจนเห็นลักยิ้มบนแก้มเมื่อนึกถึงเรื่องในวัยเด็ก
“ไอ้เด็กหัวทอง ไอ้เด็กหัวทอง” แม้สีผมบนศีรษะของคนถูกเรียกกว่า ‘เด็กหัวทอง’ จะออกสีน้ำตาลเหลือบบลอนด์นิดๆ แต่เด็กชายก็ยังคงถูกเรียกว่าแบบนั้น
“หลีกไป” ภาพเด็กชายเซดริคอายุแปดขวบที่พึ่งบินมาเยี่ยมครอบครัวมารดาที่เมืองไทย และออกมาวิ่งเล่นตามประสาเด็กที่อยากรู้อยากเห็นกำลังถูกแก๊งหัวเกรียนเจ้าถิ่นรังแก พูดจาร้ายๆ ใส่จนทำตัวไม่ถูก หลบไปทางไหนก็ถูกขวางจนหลังพิงกำแพง
เกิดมาจนอายุเจ็ดขวบ เซดริคไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกับใคร เขาไม่รู้วิธีการเอาตัวรอดจากการถูกรังแก นั่นยิ่งทำให้แก๊งเด็กหัวเกรียนที่มีสมาชิกสี่คนซึ่งรุมล้อมอยู่รอบๆ ตัวเซดริค สนุกสนานกับการได้แกล้งเด็กชายลูกครึ่ง นัยน์ตาสีเขียวเข้ม หน้าตาก็หล่อ หล่อจนชวนให้หมั่นไส้
“ไม่หลีก ไอ้เด็กดอย ไอ้ฝรั่งขี้นก” แม้จะฟังไม่เข้าใจ แต่จากแววตาและท่าทางที่แสดงออก เซดริครู้ว่าคงไม่ใช่คำชมเป็นแน่
“เราบอกให้พวกนายหลีกไป”
“ไม่หลีก มีอะไรมั้ย” เอ่ยจบเด็กชายคนที่ตัวโตสุดก็ผลักไหล่ของเซดริคเสียเต็มแรง นั่นทำให้เด็กชายลูกครึ่งหน้าหล่อล้มไปนั่งกองกับพื้น
“ไอ้ฝรั่งพูดไทยได้ด้วยแบบนี้ มันจะไปฟ้องแม่ๆ เราหรือเปล่า” เด็กชายคนหนึ่งเอ่ยถาม นั่นเพราะไม่คิดว่าเซดริคจะพูดและฟังภาษาไทยออก
“ถ้าเอ็งไปฟ้องแม่ๆ พวกข้า เอ็งโดนแบบนี้แน่” เอ่ยจบ เด็กชายตัวโตสุดและอาจเป็นหัวหน้าแก๊งหัวเกรียนก็ทำท่าจะต่อยเซดริค แต่ต้องหยุดเมื่อมีอะไรกระแทกเข้าที่แผ่นหลัง
“โอ๊ย! ใครว่ะ”
“เราเอง” คนที่เอ่ยตอบเสียงห้วนๆ คือเด็กหญิงตัวเล็กผิวออกจะคล้ำหน่อย มัดผมแกละ เธอสวมชุดกระโปรงสวยน่ารัก แต่กลับใส่กางเกงวอร์มขายาวไว้อีกตัว ท่าทางเอาเรื่องไม่น้อย
“ยัยดำตับเป็ด”
“พูดไม่เพราะ เดี๋ยวเราก็ปาหินใส่หัวแตกเลย” ขณะที่เอ่ยเด็กหญิงก็ทำท่าจะปาก้อนหินในมือใส่คนที่ชอบพูดประโยคนี้ใส่เธอประจำ
“คิดว่าพวกข้ากลัวเหรอ”
“ไม่กลัวใช่มั้ย นี่แน่ะๆ” เด็กหญิงคนดังกล่าวไม่ทำแค่ขู่ เพราะตอนนี้เธอเริ่มหยิบหินในตระกร้าหน้ารถจักรยานออกมาปาใส่แก๊งหัวเกรียนไม่ยั้งมือ ทำให้แก๊งหัวเกรียนกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง นั่นเพราะพวกตนไม่อยากมีเรื่องกับหลานสาวเจ้าของหมู่บ้านนักหรอก เพราะมีเรื่องกันครั้งใดก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้ตลอด
เมื่อแก๊งหัวเกรียนพากันปั่นจักรยานออกไปแล้ว เด็กหญิงจึงเข้าไปดูคนที่เอาแต่นั่งกอดเข่ากับพื้น เมื่อกี้มันจังหวะชุลมุน ดีไม่ดีเธออาจปาก้อนหินพลาดถูกเด็กชายเข้าให้
“เป็นอะไรมั้ย”
“ไม่” เสียงห้วนๆ เอ่ยตอบ แม้ปากจะบอกว่าไม่ แต่น้ำเสียงก็เหมือนจะปนสะอื้นอยู่ นั่นทำให้เธอคว้าอะไรออกมาจากกระเป๋าชุดกระโปรงสวยๆ แล้วยื่นให้
“เอ้านี่ผ้าเช็ดหน้า”
“ไม่เอา” น้ำเสียงห้วนๆ ยังคงเอ่ยบอกเช่นเคย พร้อมกับปัดผ้าเช็ดหน้าจนหล่นไปจากมือของเด็กหญิง นั่นทำให้เธอเท้าสะเอวมองอย่างเอาเรื่อง
“ไม่เอาก็ตามใจนายสิ ไป” คำว่าไป ทำให้เซดริคเงยหน้าขึ้นมอง นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้าของเด็กหญิง ที่อาจหาญเข้ามาช่วยเขาจากแก๊งหัวเกรียนเมื่อครู่ ตัวก็เล็กแค่นี้ แต่ทำไมใจถึงใหญ่ กล้าสู้กับสี่คนนั่นได้ ส่วนเขาที่ตัวโต กว่าเธอกลับใจปลาซิว
“ไปไหน”
“ขึ้นซ้อนท้าย เดี๋ยวจะพาไปส่งบ้าน”
“เธอรู้เหรอว่าบ้านเราอยู่ไหน” เซดริคเอ่ยถามอย่างงุนงง
“ไม่รู้ แต่นายก็บอกทางเราได้นิ ไปเร็วเข้า เดี๋ยวพวกนั้นย้อนกลับมาอีก” เด็กหญิงเร่งเร้า นั่นเพราะไม่อยากให้คู่กรณีหวนกลับมา
“ไปก็ไป” เอ่ยจบก็ลุกขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายจักรยานสีชมพูหวาน ก่อนที่เด็กหญิงจะออกแรงปั่นจนแก้มป่อง ปั่นเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาตามคำบอกของคนซ้อน ไม่นานก็มาจอดยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากซอยบ้านของตัวเองพอสมควร
“ขอบใจนะ” เมื่อก้าวลงจากรถจักรยาน เสียงเล็กๆ ของเด็กชายก็เอ่ยบอก แววตาแสดงออกถึงความชื่นชมในตัวเด็กหญิงอยู่ไม่น้อย
“ไม่เป็นไร นี่บ้านนายเหรอ”
“เปล่า บ้านป้าเรา เธอชื่ออะไร”
“ไว้เจอกันครั้งหน้าเราจะบอก ไปก่อนนะ เย็นแล้ว เดี๋ยวแม่เราตามหา”
“อื้อ” เซดริคเอ่ยรับแค่นั้น แล้วยืนมองเด็กหญิงที่ตอนนี้กำลังปั่นจักรยานออกไปด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ผิดกับเขาที่ปั่นเจ้าสองล้อนั่นยังไม่เป็น
