ยั่วรักสามีฝรั่ง

97.0K · จบแล้ว
วรนิษฐา
68
บท
16.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“ฉันจะไม่มีวันปล่อยเธอไป แม่สาวน้อยของฉัน” นี่คือความในใจของ ‘อีธาน’ ที่มีต่อ ‘มธุรดา’ หญิงสาวที่เขาตามหา เพื่อให้มารับบท ลออดาว นางเอกหนังฟอร์มยักษ์ ชายหนุ่มถึงขั้นลงทุนปลอมตัวไปเป็นคนสวน ไหนจะช่วยสอนแอคติ้งให้มธุรดา แถมยังเลือกสอนเฉพาะการจูบเสียด้วย พระเอกนี่หึงแบบมึนๆ ส่วนนางเอกก็รักคนมึนๆ แบบไม่รู้ตัว แม้แรกๆ จะออกแนวเกลียดก่อนจะรักบ้างก็เถอะ

นิยายรักโรแมนติกนิยายปัจจุบันนิยายรักดาราประธานนางเอกเก่งรักแรกพบพระเอกเก่งฟินๆ18+

บทที่ 1

รถมินิคูเปอร์สีขาว แล่นมาจอดริมรั้วหน้าตึกยุโรปทรงสวย ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ห้า ตึกแห่งนี้อยู่ท่ามกลางตึกสมัยใหม่ที่ตั้งตระหง่านขนาบทั้งซ้ายขวา

เมื่อจอดรถเสร็จ ร่างเล็กๆ ก็ก้าวลงมาจากรถ ก่อนจะยืนเท้าสะเอวมองตึกยุโรปผ่านแว่นกันแดดสีดำ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาถึงอยากได้ตึกตรงหน้านี้นัก ถึงขั้นกำชับให้เธอซื้อต่อจากเจ้าของเดิมให้ได้ แถมยังขู่อีกว่าหากเธอทำไม่สำเร็จจะตัดออกจากกองมรดก

เพราะห่วงมรดก เอ้ย! ห่วงมารดา ทำให้ บัวบูชา นิธิหิรัญ สาวร่างเล็ก ผิวสีแทนต้องมายืนอยู่ที่นี่ ในเวลาเที่ยงตรงพอดิบพอดี เวลาที่แดดแสนจะร้อน อย่างกับยืนอยู่กลางทะเลทรายซาฮาร่า

“เฮ้อ!” คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาหนักๆ นั่นเพราะมาที่นี่กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ไม่เคยเจอเจ้าของบ้าน หรือใครให้เธอติดต่อซื้อบ้านได้เลย

“สงสัยจะถูกตัดออกจากกองมรดกก็งานนี้ล่ะ แม่จ๋า ลูกพยายามแล้วนะแม่” บัวบูชาเอ่ยไปก็ชะเง้อชะแง้มองเข้าไปภายในตึก แล้วเดินคอตกกลับไปยังรถ

จังหวะที่กำลัง เอื้อมมือไปสตาร์ทเครื่องยนต์ สายตาก็มองเห็นรถเก่าๆ คันหนึ่งแล่นไปจอดยังหน้าประตูทางเข้าตึก ก่อนที่คนขับรถจะก้าวลงมาแล้วเอาป้ายประกาศขายบ้านไปแขวน นั่นทำ ให้บัวบูชาถึงกับกรีดร้องอย่างเสียสติ

“ในที่สุด ฟ้าก็เมตตาฉัน กรี๊ด” เอ่ยจบก็รีบเปิดประตูแล้วก้าวยาวๆ ตรงไปหาคนดังกล่าว ที่ลักษณะภายนอกบ่งบอกว่าน่าจะอายุอานามเกือบๆ หกสิบเข้าไปแล้ว

“ฉันขอซื้อตึกหลังนี้ค่ะ” บัวบูชาเอ่ยอย่างมั่นใจ ก่อนจะคว้าป้ายประกาศขายบ้านไปกอดไว้ทันที นั่นเพราะกลัวว่าหากยังเอาป้ายมาแขวนไว้ จะมีคู่แข่งมาแย่งซื้อบ้านกับเธอ

นิคมมองหน้าหญิงสาวคนข้างๆ อย่างงุนงง วันนี้เขาแวะมาแขวนป้ายประกาศขายบ้าน ตามคำสั่งของเจ้านายคนใหม่ที่ได้บ้านหลังนี้จากมรดกตกทอด แต่กลับเลือกที่จะขายอย่างไม่ใยดี

“ราคาแพงเอาเรื่องอยู่นะครับ” ที่เอ่ยออกไปแบบนี้นั่นเพราะนิคมรู้ราคาขายบ้านหลังนี้มาคร่าวๆ เขาในฐานะทนายส่วนตัว แม้ต้องทำตามคำสั่งผู้เป็นนาย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้าจะมีเงินซื้อบ้านหลังนี้ได้ด้วยหรือ

“แพงก็จะสู้ค่ะ ฉันบัวบูชา นี่ค่ะนามบัตรฉัน” เอ่ยจบก็ยื่นนามบัตรให้นิคมไป เขารับนามบัตรมาจากเธอ ก่อนจะหยิบนามบัตรตัวเองออกมายื่นกลับไปบ้าง

“ผมนิคมครับ เป็นทนาย”

“ว่าแต่ฉันคุยเรื่องนี้กับคุณได้เลยไหมคะ” เรื่องนี้คือเรื่องซื้อขายตึกยุโรปแสนสวยตรงหน้า นั่นเพราะบัวบูชาอยากจัดการให้เสร็จก่อนจะถึงวันเกิดของมารดา

“คุยได้แค่คร่าวๆ ครับ ส่วนคนที่จะตกลงขายหรือไม่ขายคือเจ้านายผมอีกที” นิคมส่ายหน้าให้กับความใจร้อนของคนตรงหน้า

“งั้นฉันจะติดต่อเจ้านายคุณนิคมได้ยังไงคะ”

“อาทิตย์หน้าเจ้านายผมก็จะมาเมืองไทย ไว้ถึงตอนนั้นผมจะนัดหมายวันให้คุณบัวบูชาเข้าไปคุยรายละเอียดกับท่านอีกที”

“ขอบคุณมากค่ะ” บัวบูชายิ้มกว้างอย่างปิดความดีใจไม่อยู่จริงๆ นั่นเพราะตั้งแต่ได้รับคำสั่งจากมารดาเธอก็แวะเวียนมาตึกนี้บ่อยมาก บ่อยจนเก็บเอาไปฝันก็เคยมาแล้ว

“ด้วยความยินดีครับ” นิคมเอ่ยรับแค่นั้นก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะแยกย้าย บัวบูชายิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดี นั่งร้องเพลงมาตลอดทางกลับคอนโดมิเนียม

ก่อนจะปรับโหมดเข้าสู่ความเงียบขรึม เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ตั้งไว้ว่าเป็นสายมาจากมารดา ก่อนจะกดรับก็กระแอมสองสามครั้ง

“ว่าไงคะแม่จ๋า”

“เรื่องซื้อตึกหลังนั้นไปถึงไหนแล้วบัว” ทันทีที่บุตรสาวคนเดียวรับสาย บัวฟ้าก็ถามถึงความคืบหน้าของการซื้อตึกยุโรปหลังนั้นทันที

“หูย… น่าน้อยใจ แม่จ๋าโทร มาก็ถามถึงแต่ตึกนั่น ไม่ถามถึงลูกบ้างเหรอว่ากินข้าว กินน้ำหรือยัง อากาศร้อนมั้ย น้ำหนักขึ้นบ้างหรือเปล่า”

“ไม่ถาม เพราะถ้าเราไม่สบาย คงไม่พูดจ้อเป็นต่อยหอยใส่แม่แบบนี้หรอก สรุปว่ายังไง ติดต่อขอซื้อตึกได้หรือยัง” คำพูดของมารดา ทำเอาบัวบูชาแสร้งส่งเสียงสะอื้นให้ปลายสายได้ยิน แต่ดูเหมือนมุกนี้จะใช้ไม่ได้ผล เพราะมารดาเธอไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กลับมา ส่งผลให้บัวบูชาต้องเป็นฝ่ายเปลี่ยนท่าทีเสียเอง

“ยังเลยค่ะ”

“เฮ้อ! ยังอีกเหรอ”

“แม่จ๋า บัวขอถามอะไรหน่อยสิ ทำไมแม่ถึงอยากได้ตึกนั่นจัง มีความหลังอะไรหรือเปล่าคะ”

“ซื้อมาให้ได้ก่อน แล้วแม่จะเล่าให้ฟัง” บัวฟ้าบ่ายเบี่ยง ทำเอาคนฟังแทบไปไม่เป็น แต่ก็ยิ่งกระตุ้นให้เธอต้องซื้อตึกนั่นมาให้จงได้ ไม่ได้กลัวว่าหากทำไม่ได้จะถูกตัดออกจากกองมรดก แต่อยากรู้มากกว่าว่ามารดามีความหลังฝังใจอะไรกับตึกนั้น

“หงะ”

“อ้อ… ลืมไป ถ้าซื้อไม่ได้ ก็เตรียมตัวตกกระป๋องซะนะ แม่จะยกมรดกทั้งหมดให้การกุศล”

“แม่อ่ะ” น้ำเสียงงอนๆ ที่ดังมาตามสายทำให้คนฟังอดที่จะยิ้มไม่ได้ ป่านนี้คงทำให้บัวบูชาเครียดอย่างถึงที่สุด แต่ให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อเธอไม่มีทางอื่นนอกเสียจากวิธีนี้ หวังว่าบัวบูชาจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง

“ว่างๆ ก็ขึ้นมาเยี่ยมแม่กับพ่อบ้าง ปล่อยให้สองตายายอยู่กันเหงาๆ มันบาปนะรู้ตัวไหม”

“ก็กำลังหาเวลาว่างอยู่ค่ะ” ใช่ว่าบัวบูชาไม่อยากขึ้นไปเยี่ยมแม่พ่อที่เชียงราย แต่เพราะงานมันรัดตัวเหลือเกิน ก็ใครกันล่ะที่โอนทุกอย่างให้เธอดูแลตั้งแต่เรียนจบ แล้วพากันหนีขึ้นไปอยู่เชียงรายปลูกไร่ชา กระหนุงกระหนิงกันสองคน ทิ้งให้เธอซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวที่แสนจะบอบบาง เผชิญความเหงาอยู่ที่กรุงเทพฯ

“ไม่ต้องมาตอบอ้อมๆ แอ้มๆ โตจนป่านนี้แล้ว เมื่อไหร่จะแต่งงานเสียที คนอื่นเขาแต่งงานจนมีลูกเข้าอนุบาลแล้วนะบัว”

“แม่จ๋าสัญญาณไม่ดีเลย แม่จ๋าได้ยินบัวมั้ย แม่จ๋า จ๋าๆๆๆ” บัวบูชาแกล้งยื่นโทรศัพท์ออกห่าง พร้อมกับพูดคำว่าจ๋ายาวเป็นหางว่าว จากนั้นก็กดตัดสายไปแล้วยกมือขอโทษมารดา นั่นเพราะไม่อยากคุยเรื่องแต่งงานอะไรนั่นอีก คุยทีไร ไมเกรนขึ้นทุกที

ไหนจะเรื่องซื้อตึกให้ได้ ถ้าไม่ได้นี่เธอถูกตัดออกจากกองมรดกแน่ๆ เพราะมารดาพูดคำไหนคำนั้นมาตลอด ไหนจะเรื่องแต่งงาน

‘โอ๊ย! ชีวิต ทำไมมันอีรุงตุงนังแบบนี้ หนีไปบวชชีซะดีไหมเนี่ย งื้อออ’