9
จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาเสียงเข้มจัดหญิงสาวแทบสำลัก รู้ได้ไงวะเนี่ย
“ผู้ร้ายปากแข็ง” ปองภพดึงร่างเล็กเบา ๆ อีกครั้งพร้อมกับกดให้นอนราบบนโซฟากักเอาไว้ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตกว่า
“ปล่อยนะ...แผนเผินอะไรที่ไหนกันเล่า ...ไม่มี๊...ไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น”
“เกรซ...สารภาพมาซะดี ๆ ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน” สายตาคมดุจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ไม่ได้มีความมั่นคงเอาเสียเลย...โกหกชัวร์
“บอกว่าไม่รู้เรื่องไงเล่า ไม่ได้ยินหรือไงหูแตกเหรอคุณ”
“เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้ อายุสมองคงจะน้อยกว่าเจ้าปพนเสียอีกล่ะมั้ง”
“อร๊ายยยย...มีสิทธิ์อะไรมาด่าฉันห๊ะ” จากที่เริ่มจะสงบพอโดนสบประมาท หญิงสาวก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาอีกครั้ง ดิ้นไปด่าไป
“สงบสติอารมณ์แล้วมาคุยกันดี ๆ หรือจะให้ปล้ำก่อนถึงจะคุยกันรู้เรื่องหึ” ไม่พูดเปล่าด็อกเตอร์หนุ่มยังก้มลงหอมแก้มสาวฟอดใหญ่อย่างถือวิสาสะ
“คุณ !.....” เกรซถลึงตาใส่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกวูบวาบใจสั่นไปหมด
“ทำไม...น้อยไปเหรอ...อืมต้องจูบแบบผู้ใหญ่สินะ”
“อย่าเชียวนะ ไม่งั้นฉันกัดลิ้นขาดจริง ๆ ด้วย” หญิงสาวขู่พร้อมกับมองด้วยสายตาวาววับ
“จะพูดกันดี ๆ ได้หรือยัง”
“ลุกออกไปก่อนสิ...ฉันหนักนะ”
“พูดดี ๆ”
“อาจารย์ปองภพขา...ลุกออกไปก่อนสิคะ...เกรซหนักค่ะ”
อาจารย์หนุ่มผละออกจากเรือนร่างนุ่มนิ่มอย่างเสียดายพร้อมกับส่งมือใหญ่ให้หญิงสาวจับเพื่อดึงตัวเองขึ้นมานั่งเคียงกัน
“คุณอยากช่วยปพนใช่ไหม”
“เกรซแค่ไม่อยากให้หลานเกิดนอกสมรส” คำตอบนี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว
“นั่นก็หลานผมเหมือนกัน”
“นั่นสิคะ แล้วทำไมคุณถึงได้ใจร้ายใจดำขวางทางรักของน้องชายได้ลงคอ ช่างไม่เห็นแก่เด็กตาดำ ๆ เลยนะคุณเนี่ย ใจร้ายชะมัด”
“คุณกำลังปรักปรำผมอยู่นะเกรซ ไม่รู้อะไรอย่าสรุปมั่ว ๆ”
“เปล่าซะหน่อยก็พูดไปตามเนื้อผ้า แล้วอะไรล่ะคะที่เกรซควรจะรู้เพิ่มเติม”
“ผมไม่ได้ใจร้าย แต่ไม่รู้จะแต่งงานกับใคร” ปองภพตอบตามตรง เพราะเขาไม่ไว้ใจตัวเองจริง ๆ ว่าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่กับใครได้โดยไม่เบื่อเสียก่อน
“ห๊ะ....อย่างคุณนี่นะไม่รู้จะแต่งกับใคร” หญิงสาวเผลอแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง นั่นเท่ากับยอมรับว่าเขาเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบ เลอค่าคู่ควรกับคำว่าสามีของใครสักคน
“ใช่...เพราะไม่มีใครยอมรับเงื่อนไขของผมได้หรอก”
“เงื่อนไขของคุณคือ ?.....”
“ถ้าเบื่อเมื่อไหร่ก็เลิกกัน....เพราะผมเป็นคนขี้เบื่อ” ชายหนุ่มมองหน้าตาตื่น ๆ เหมือนเจอเรื่องเหลือเชื่อของอีกฝ่ายแล้วต้องกลั้นขำ แต่ก็พยายามปรับสีหน้าให้จริงจังขึงขังเข้าไว้…
เกรซถึงกับอึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ชายที่ตรงกว่านี้อีกไหม พฤติกรรมของผู้ชายขี้เบื่อมีให้เห็นเยอะแยะไม่น่าแปลก แต่คนที่ขี้เบื่อและบอกล่วงหน้าแบบนี้จะมีสักกี่คน ผู้หญิงที่ไหนจะยอมแต่งงานด้วยวะ...เซ็งจิต.......
“เป็นไงล่ะ....คิดไม่ถึงล่ะสิ ยังจะกล้าทำตัวเป็นแม่พระช่วยเหลือน้องชายผู้ตกยากของผมอีกไหม” ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีเนิบนาบแต่แฝงไปด้วยคำท้าทาย อย่างคนที่รู้จุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามดี
“ได้....เกรซจะแต่งงานกับคุณ แต่ก็มีเงื่อนไขข้อหนึ่งเหมือนกัน แฟร์ ๆ กันไปเลย......ว่าแต่คุณเถอะ กล้าหรือเปล่า” ท้าทายไม่กลัว ท้ากลับไม่โกง.....
“ว่าเงื่อนไขของคุณมาได้เลย....”
“ห้ามล่วงเกิน ห้ามฝืนใจเด็ดขาด”
“ได้ แต่ถ้าคุณยินยอมพร้อมใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ”
“ไม่มีวัน” หญิงสาวตอบอย่างมั่นใจ...ถ้าไม่แน่ใจฉันไม่ยอมเด็ดขาดแต่จะทำให้คุณยอมศิโรราบ ไปไหนไม่เป็นเลยคอยดูสิ...
“อย่าเพิ่งแน่ใจอะไรเกินไปนัก” สายตาเจ้าเล่ห์เต้นระริกพร้อมกับรอยยิ้ม
“ยิ่งกว่าแน่อีกค่ะ” เกรซเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เก็บเสื้อผ้ามาอยู่กับผมได้เลย .....พรุ่งนี้เย็นก็แล้วกัน เลิกเรียนแล้วค่อยไปด้วยกัน”
“เกรซขอไปทำใจวันหนึ่งก่อนนะคะ”
“กลัวขึ้นมาล่ะสิ”
“ไหน....ใครกลัว”
“ตามใจคุณก็แล้วกัน”
“เกรซขอยืมรถคุณไปก่อนนะคะ พรุ่งนี้เช้าจะแวะมารับ” หญิงสาวขออนุญาตในขณะที่คว้ากุญแจรถยนต์คันหรูเอาไปแกว่งเล่นเรียบร้อยแล้ว...มีสามีนี่ก็ดีเหมือนกันแฮะ
“อืม....ขับระวังด้วยล่ะ” ชายหนุ่มเตือนเพราะเครื่องมันแรง
“เป็นห่วงว่าที่ภรรยาหรือห่วงรถกันแน่คะ” หญิงสาวลอยหน้าถามอย่างอารมณ์ดี รถรุ่นนี้อยากขับมานานแล้ว รอเก็บเงินซื้อเอง ทั้งชาติก็คงไม่มีปัญญา
“รถ !....”
“ไม่คิดก่อนพูดซักหน่อยเหรอคุณ...” เกรซหน้างอ ก็รู้แหละว่าเขาพูดเรื่องจริงกับคนที่เพิ่งเจอกันแค่สองวันจะมาบอกว่าห่วงใยนักหนามันก็ดูเกินจริงไปหน่อย แต่หล่อนก็ยังต้องการคำพูดหวานหูอยู่เหมือนกันนี่นา...
“ชอบฟังเรื่องจริง หรือเรื่องโกหก”
“โอเค เกรซจะขับรถของคุณอย่างทะนุถนอมนะคะคุณว่าที่สามี” หญิงสาวยิ้มกว้างก่อนจะออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดีสุด ๆ
ปองภพส่ายหัวขำ ๆ กับท่าทางของเจ้าหล่อน ดูช่างเริงร่าอย่างกับสาวแรกรุ่นจากข้อมูลที่เค้นได้จากน้องชาย เกรซถือเป็นผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง หล่อนโตมากับครอบครัวนักธุรกิจใหญ่มารดาเสียชีวิตตั้งแต่หล่อนอายุได้เจ็ดขวบ เมื่อบิดาแต่งงานใหม่และมีลูกอีกสามคน หล่อนรู้สึกเหมือนว่ากลายเป็นส่วนเกิน จึงขอแยกออกมาอยู่คอนโดที่เป็นสมบัติของมารดาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีสาม นัยว่าทะเลาะกับบิดายกใหญ่ จนไม่ขอรับความช่วยเหลือจากทางบ้าน หาเงินส่งตัวเองเรียนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหล่อนเก่งทางด้านภาษารับแปลเอกสารและยังร้องเพลงคันทรีโดยตั้งวงเล็ก ๆ ร่วมกับเพื่อน ๆ และปพนที่ชอบเล่นดนตรี ทั้งคู่จึงสนิทกันมากถึงแม้วงเล็ก ๆ นั่นจะยกเลิกไปแล้วเพราะปัจจุบันหล่อนมีงานทำที่มั่นคง………ใช่...บริษัทของครอบครัวเขามั่นคงมาก แต่หล่อนคงไม่รู้เพราะปพนยืนยันว่าไม่บอก กลัวว่าเจ๊ของมันจะเสียเซลฟ์เพราะหล่อนภูมิใจนักหนาที่สามารถเข้าทำงานที่นั่นได้
